• auto_v201.jpg
  • auto_v202.jpg
  • auto_v203.jpg
  • auto_v204.jpg
  • auto_v205.jpg
  • auto_v206.jpg
  • auto_v207.jpg
  • auto_v208.jpg
  • auto_v209.jpg
  • auto_v210.jpg
  • auto_v211.jpg
  • auto_v212.jpg
  • auto_v213.jpg
  • auto_v214.jpg
  • auto_v215.jpg
  • auto_v216.jpg
  • auto_v217.jpg

สักการะสถานแห่งแม่พระมหาทุกข์

เป็นวัดน้อยที่สร้างอยู่ทางทิศใต้ของคลองนาวีลีโอ (Naviglio)
ห่างจากฝั่งประมาณสิบเมตร  อยู่ทางฟากของเมืองแชร์นุสโก (Cernusco) 
ตามข่าวที่มีสักการะสถานเล็กๆแห่งแม่พระมหาทุกข์นี้  
ทุกวันนี้เหมือนในอดีตยังเป็นศูนย์กลางของความศรัทธาต่อแม่พระมหาทุกข์    
เรื่องราวเกี่ยวกับอัศจรรย์ในการสร้างสักการะสถานเล็กๆ
แห่งแม่พระมหาทุกข์บนฝั่งคลองนาวีลีโอ (Naviglio sul Cernusco)
มีเก็บไว้ในห้องเอกสารของวัดแห่งเมืองแชร์นุสโก (Cernusco)  
เรื่องเล่าว่ามีการบรรทุกรูปปั้นแม่พระไว้บนเรือลำหนึ่งในขบวนเรือสินค้า
ซึ่งออกเดินจากเมืองมีลาน (Milano)
โดยมีม้าลากไปตามคลองนาวีลีโอ (Naviglio) มุ่งขึ้นไปทางเหนือ 
แต่ในขณะที่ขบวนเรือกำลังรอดใต้สะพานนาวีลีโอ (Naviglio sul Cernusco)  
ได้ประมาณ 100 เมตร  ขบวนเรือก็หยุดลง 
แม้ว่าม้าจะพยายามออกแรงเท่าไรก็ไม่สามารถขยับเขยื้อนขบวนเรือไปได้เลย 
เหตุการณ์นี้ได้มีการนำไปรายงานให้แก่ผู้ใหญ่ฝ่ายศาสนาและบ้านเมือง
ซึ่งก็มายังสถานที่เกิดเหตุ 
หลังจากที่ได้ปรึกษากัน ก็มีการตัดสินใจ
ให้นำหีบบรรจุรูปปั้นแม่พระมหาทุกข์ขึ้นจากเรือ 
เมื่อทำเช่นนั้นแล้วขบวนเรือก็สามารถแล่นต่อไปได้ 
แต่พอนำหีบบรรจุรูปปั้นแม่พระมหาทุกข์ลงไปในเรือใหม่ 
ขบวนเรือก็ไม่สามารถแล่นไปได้อีกเช่นเดิม 
เมื่อเป็นเช่นนี้จึงได้มีการตัดสินใจ
ให้เก็บรักษารูปปั้นแม่พระมหาทุกข์ไว้ที่เมืองแชร์นุสโก (Cernusco)  
หลังจากที่ได้มีการเจรจากับเจ้าหน้าที่ฝ่ายผู้ใหญ่ของเมืองมีลาน (Milano)
ชาวเมืองแชร์นุสโก (Cernusco) ได้มีการประชุมและตัดสินร่วมกัน 
ที่จะสร้างสักการะสถานน้อยๆสำหรับแม่พระมหาทุกข์  
ซึ่งได้รับการเคารพสักการะจากชาวเมืองแชร์นุสโก (Cernusco)
ละเป็นสถานที่หลบภัยสำหรับบุคคลที่เป็นทุกข์โศกเศร้า
ที่ต่างก็อยากจะเข้าหาพึ่งพาพระมารดา   

เสียงลือเกี่ยวกับสงครามในยุโรป
ในขณะที่เมืองแชร์นุสโก (Cernusco) ชาวบ้านดำเนินชีวิตด้วยความศรัทธา
และปรองดองกันเยี่ยมคริสตชน 
สถานการณ์ของยุโรป หลังจากที่สิ้นสุดสงครามที่ลิเบียแล้วดูจะย่ำแย่ลงไป
เหมือนกับมีเมฆดำมาปกคลุม  เพราะการคุกคามของสงคราม  
หนังสือพิมพ์พูดถึงประเทศในยุโรปเปรียบกับทะเลที่บ้าคลั่ง
ซึ่งดูเหมือนจะต้องพังสลายไป  
ศูนย์กลางของพายุอยู่ที่ประชาชนชาวบอลข่านซึ่งลงเอยด้วยสงครามกลางเมือง 
ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านพยายามเข้าไปเจรจาเพื่อให้เกิดความปรองดองขึ้น 
แต่ก็ลงเอยด้วยการที่ไม่สามารถเข้าใจกันได้ 
จึงเกิดสงครามระหว่างประเทศต่างๆของบอลข่าน  
และพอประเทศเยอรมันเข้ามามีบทบาทก็เลยเกิดสงครามครั้งที่ 1 ขึ้น  
ในปี ค.ศ 1914 - 1919 
ประเทศอิตาลีเข้าร่วมสงคราม
ในตอนเริ่มต้นสงครามโลกประเทศอิตาลีประกาศตัวเป็นกลาง  
แต่ก็ไม่ยอมหยุดที่จะเรียกร้องเมืองตรีเอสเต (Trieste) กลับมาเป็นของอิตาลี
ที่จริงแล้วประเทศอิตาลีรู้ดีว่ายังไม่พร้อมที่จะทำสงคราม
ยิ่งไปกว่านั้นประชาชนก็แบ่งแยก
และคงจะไม่สามารถที่จะมีชัยชนะในกรณีของเมืองตรีเอสเต (Trieste) ได้ง่ายๆ
อย่างที่เคยมีชัยชนะในไซเบีย   แต่แล้วเมื่อมีการกดดันจากฝ่ายพันธมิตร 
ประเทศอิตาลีจึงต้องเริ่มเตรียมเข้าร่วมสงคราม
ภายใต้การกดดันและทำสัญญาที่จะได้รับความช่วยเหลือจากฝ่ายพันธมิตร 
ประเทศอิตาลีจึงได้ประกาศสงครามกับประเทศออสเตรีย 
ซึ่งเป็นต้นเหตุของการที่จะได้เมืองตรีเอสเต (Trieste) และบริเวณใกล้เคียงกลับมาใหม่ 
แม้ประเทศอิตาลีจะประกาศทำสงครามกับประเทศออสเตรียแต่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก  
ได้แต่ขุดหลุมเพาะและส่งทหารไปประจำในหลุมเพาะเป็นเวลานาน  
ต้องทนหนาวความเยือกเย็นและฝน  
ทหารหลายคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูหนาว
ต้องโดนความเยือกเย็นในนิ้วมือ และนิ้วเท้า  
จนกระทั่งไม่สามารถที่จะถือปืนในมือได้ 
กระนั้นก็ดีก็ยังมีการเกณฑ์ทหารอย่างไม่หยุดหย่อน   

การทรยศของนายพลกัปเปลโล (Cappello)
สุภาษิตอิตาเลียนพูดไว้ว่า "อิตาเลียน สามคน  แบ่งเป็นสี่พรรค" 
สะท้อนให้เห็นถึงสภาพการทำสงครามได้อย่างดี 
นายพลกัปเปลโล (Cappello )ซึ่งได้รับการขนานนามว่า
เป็นหนึ่งในหัวหน้าของพรรค Framassoni
เป็นผู้บังคับบัญชาการสูงสุดของกองทัพอิตาลี 
ร่วมกับนายพลบางคนได้ทรยศและขายประเทศอิตาลีให้แก่ประเทศออสเตรีย 
ข่าวแรกเกี่ยวกับการทรยศนี้กล่าวว่า 
มีทองที่ถูกนำมาซ่อนไว้ในหลุมเพาะของทหาร 
ทว่า ไปลงเอยอยู่ที่กระเป๋าของผู้ทรยศ  
วันหนึ่งพ่อได้พูดกับคุณพ่อยอแซฟ ปีนัฟโฟ (Giusppe  Pinaffo)
ซึ่งเคยเป็นทหารและมียศเป็นผู้บังคับกอง  ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง 
คุณพ่อได้เล่าให้พ่อฟังเกี่ยวกับเหตุการณ์ครั้งนี้ว่า
มีการที่กองทัพอิตาเลียนต้องถอยทัพออกจากแนวหน้า
ที่เมืองเตรนโต (Trento) ด้วยความหวาดกลัว  
คุณพ่อยังบอกว่า
"สองวันก่อนที่จะได้รับคำสั่งให้วางอาวุธ
และถอยทัพจากแนวหน้าอย่างกระทันหัน 
โดยไม่ต้องรอคำสั่งจากผู้บังคับบัญชานั้น
มีการสังเกตว่าไม่ได้ยินเสียงปืนจากแนวหน้าทุกแห่งเลย 
ดินฟ้าอากาศก็แย่มาก  ท้องฟ้าปกคลุมด้วยเมฆฝนตกอย่างต่อเนื่อง 
ชุดทหารก็เปียกโชก  ความหนาวก็ซึมเข้าไปจนถึงกระดูก 
เมื่อเป็นเช่นนี้ต่างคนต่างก็คิดว่ากำลังมีการเจรจาสันติภาพกันอยู่รึเปล่า 
แล้วทันทีทันใดก็มีผู้สื่อข่าวทหารมาจากแนวหน้านำคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาสูงสุดมาให้ 
คำสั่งนั้นคือ 'จงวางอาวุธ  และถอยทัพจากแนวหน้าทันที 
โดยไม่ต้องรอคำสั่ง  ลงชื่อผู้บังคับบัญชาการสูงสุดแห่งกองทัพอิตาลี'    

ความวุ่นวายทั่วไป
เมื่อได้รับคำสั่งทหารทุกคนก็สับสนวุ่นวาย  
บ้างก็ตะโกนว่า"ทรยศ"  เพราะไม่เห็นว่ามีการรบในแนวหน้าเลย 
นอกนั้นก็มีเสียงร้องไห้ เสียงแห่งความสิ้นหวัง 
ทหารทุกคนต่างกลับจากแนวหน้าอย่างรีบเร่ง  บ้างก็วิ่ง 
ผมเดินมากับพวกทหารและนายทหาร 
ทุกคนเปียกปอนด้วยน้ำฝน  หิวโหย  รู้สึกละอาย  หมดกำลังใจ 
ไร้ซึ่งกำลังใดๆ  ต้องพ่ายแพ้โดยไม่ได้เห็นตัวศัตรูที่ไล่เรามาจากแนวหน้า 
ผมเดินคอตก  คิดถึงสิ่งที่คุณพ่อรัวได้บอกให้มีความซื่อสัตย์ต่อคณะ 
ผมต้องเดินกลับมาจากแนวหน้าและรู้สึกเหนื่อยมาก จนหมดกำลัง 
ผมสวดขอแม่พระองค์อุปถัมภ์ของคริสตังค์จนสุดกำลัง 
วอนขอพระแม่ได้ช่วยผมให้กลับมายังคณะ 
ทันทีทันใดผมก็เห็นรูปแม่พระองค์อุปถัมภ์ซึ่งกำลังมองผม 
แล้วผมก็เป็นลม   และไม่รู้เรื่องอีกเลย  
เมื่อฟื้นขึ้นมาเหมือนกับตื่นจากความฝันที่ยาวนาน 
ผมก็พบว่ากำลังอยู่ในห้องรวมที่มีทหารของกาชาดโดยที่มีหมอทหารประจำอยู่     

กองทัพแนวหน้า
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา 
กองทัพอิตาลีที่อยู่ในแนวหน้าต่างหนีกันไปหมด 
ทหารที่ต้องอับอายขายหน้าอันเนื่องมาจากการทรยศของผู้บังคับบัญชา 
ละทิ้งแนวหน้า  และหลายคนก็หนีกองทัพ  ไม่อยากที่จะสู้รบต่อไป 
ฝ่ายรัฐบาลเองก็มีความหวาดกลัวในสิ่งที่เกิดขึ้น 
อีกทั้งสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในกองทัพ 
จึงได้ขอความช่วยเหลือด้านอาวุธและอาหารจากประเทศเพื่อนบ้าน 
ซึ่งแต่ละประเทศก็ตอบรับช่วยเหลืออย่างทันท่วงที 
และด้วยใจกว้างขวางหลังจากนั้นทางรัฐบาล
ได้มีคำสั่งเรียกเยาวชนตั้งแต่อายุ 16 ปีขึ้นไป
และชายหนุ่มที่มีอายุไปถึง 45 ปี  ให้มาเป็นทหาร 
กระนั้นก็ดีไม่ใช่ว่าจะเป็นการเรียกทุกคนในเวลาเดียวกัน  แต่เป็นชั้นๆไป  
ในเวลาเดียวกันผู้บังคับบัญชาสูงสุดแห่งกองทัพ
ก็ได้ส่งทหารสองรุ่นสุดท้ายที่กำลังรับการฝึกอยู่ไปที่แนวหน้าในช่วงปี 1898 -1899  
ได้มีการตั้งแนวหน้าไว้บริเวณแม่น้ำปีอาเว (Piave)  
ส่วนรุ่นปี 1899 ที่ยังมีไฟอยู่ก็ถูกส่งไปป้องกันสถานที่อยู่ในสถานการณ์หมิ่นเหม่  
กองทัพข้าศึกเพื่อจะเข้ามาในประเทศอิตาลี
ต้องขอทางผ่านจากสองกองพันนี้ซึ่งตั้งที่มั่นอยู่บนฝั่งแม่น้ำ
ด้านตรงข้ามพวกศัตรูซึ่งต่างก็กำลังรุกเข้ามาอย่างรวดเร็ว    
ทหารอิตาเลียนที่ตั้งมั่นอยู่บนฝั่งแม่น้ำปีอาเว (Piave)
ได้เขียนป้ายใหญ่ติดตั้งไว้ให้ฝ่ายข้าศึกที่กำลังรุกเข้ามาเห็น 
สิ่งที่เขียนในป้ายนั้นคือ “ห้ามผ่าน 
ถ้าร่างกายของเราถูกฆ่าจิตวิญญาณของเราที่ออกจากร่างกายที่ตายไปแล้ว
จะจับปืนเพื่อป้องกันร่างกายที่ไร้ชีวิต 
และกีดขวางข้าศึกไม่ให้ผ่านเข้ามาในประเทศอิตาลีอย่างเด็ดขาด” 
ข่าวคราวเกี่ยวกับสงครามเราต่างก็รับรู้จากการอ่านความเคลื่อนไหวของสงคราม 
ที่ทางกองบัญชาการมอบให้เป็นรายวันโดยเขียนข่าวคราวไว้ในแผ่นกระดาษใหญ่ 
เพื่อให้ทุกคนสามารถอ่านได้  ซึ่งคนที่อ่านแล้วต่างก็มีความหวาดกลัวในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น  
ศัตรูที่รุกเข้ามาถึงริมฝั่งแม่น้ำปีอาเว (Piave) ต้องหยุดและแอบอยู่ในคูรบ 
เพราะต้องเผชิญกับการป้องกันที่เข้มแข็ง 
มีทหารล้มตายเป็นจำนวนมากจากทั้งสองฝ่าย 
ทหารรุ่นปี 1899 ต้องสูญเสียจำนวนมากหลายคนเสียชีวิตแต่ก็ไม่ยอมให้ศัตรูปล่อยไปได้   
ฝ่ายข้าศึกต้องจำยอมและเก็บตัวอยู่ในสนามเพลาะโดยไม่คิดที่จะเข้ามาในประเทศอิตาลี  
เพื่อมากินอาหารเที่ยงที่เมืองนั้นหรืออาหารเย็นที่เมืองนี้ 
ตามที่มีการเขียนไว้ในข่าวสงครามจากศูนย์บัญชาการทหาร
และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับรู้   

ประชาชนในช่วงเวลานั้น
ข่าวคราวที่มาจากแนวหน้าของสงคราม
สร้างความประทับใจให้แก่ประชากรอิตาลีเป็นอย่างมาก 
โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มิลานต่างหวาดหวั่นที่จะต้องตกอยู่ในมือของข้าศึก  
ชาวเมืองมิลานและจังหวัดใกล้เคียงแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม 
กลุ่มที่กล้าหาญ  กลุ่มที่ไม่สนใจ  และกลุ่มของผู้หลบหนี  
กลุ่มของผู้ที่กล้าหาญหรือวีรบุรุษอย่างที่เรียกกัน 
ประกอบขึ้นด้วย  ผู้ชาย  เยาวชน และเด็กนักเรียน  
กลุ่มที่มีไฟมากกว่าหมดคือ 
กลุ่มนักเรียนที่แบ่งเป็นกลุ่มๆ  ถืออาวุธกระดาษในมือ 
และตระเวนไปตามถนนต่างๆร้องตะโกนว่า “ชัยชนะเป็นของเรา” 
พร้อมกับชูอาวุธกระดาษ  และตะโกนว่า 
“ห้ามผ่าน  ถ้าเราถูกฆ่าวิญญาณของเราก็จะออกจากร่าง 
และหยิบปืนขึ้นมาเพื่อป้องกันร่างกายที่ไร้ชีวิตของเรา  และประเทศชาติ”  
เป็นแนวเดียวกันกับสิ่งที่พวกเขาได้อ่านและได้ยินจากข่าวสารสงคราม 
กลุ่มที่ไม่สนใจเดินไปเดินมาด้วยใบหน้าไร้ซึ่งความรู้สึก 
และได้แต่อ่านข่าวสงคราม  ใบหน้าของพวกเขานั้นซีดเผือด 
เนื้อตัวสั่นไปด้วยความหวาดกลัว   เดี๋ยวก็ยิ้ม  เดี๋ยวก็มีทีท่ามั่นใจ 
ตามสิ่งที่พวกเขาได้ยินคนวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับข่าวของสงคราม  
กลุ่มพวกผู้หลบหนีจากแนวหน้า
และถอดเครื่องแบบทหารอยู่กระจัดกระจายทั่วไปหมด 
พวกเขาดำเนินชีวิตหลบซ่อน หิวโซ กระหายน้ำ ดูต่ำต้อย  
และขมขื่นเหมือนสัตว์ร้าย  
พวกเขาโมโหง่ายเต็มไปด้วยความโกรธที่ถูกทรยศ
และขายจากผู้บังคับบัญชาที่ดำเนินชีวิตหลบซ่อนอยู่ตามทุ่งนา 
ในป่า  บนต้นไม้  แฝงตัวอยู่หลังใบไม้ 
ช่วงเวลากลางคืนพวกเขาก็ลงมาเพื่อหาปังและผลไม้ 
ชาวบ้านก็ช่วยพวกเขาตามที่ช่วยได้   
ในแถบทุ่งนาแห่งเชนุสโกมีหลายคนที่หลบซ่อนอยู่
ไม่เคยมีใครได้ยินเลยว่าพวกนี้จะขโมยหรือทำร้ายชาวบ้าน 
แต่ถ้าตำรวจตามจับพวกเขาในความผิดที่หนีทหาร 
พวกเขาก็จะต่อสู้ดังสัตว์ป่าที่ดุร้ายพวกเขาไม่อยู่แบบต่างคนต่างอยู่  
แต่อยู่ด้วยกันเป็นกลุ่ม สอง สาม หรือสี่คน   และช่วยเหลือกันและกัน          

ความดีที่มาจากความชั่ว
คุณพ่อโจเซฟเป ปีนัฟโฟ ได้กล่าวว่าหายนะที่เกิดขึ้นที่กาโปร์เรตโต (Caporetto)
สร้างความหวาดหวั่นให้แก่ประชาชนทั่วประเทศอิตาลีเป็นอย่างมาก  
ที่เมืองเชนุสโกเองชาวเมืองมีความร้อนรนมากขึ้น
เนื่องจากความหวาดกลัวและความหวัง
ในความช่วยเหลือของพระญาณเอื้ออาทรของพระเจ้า 
คุณพ่อเจ้าวัดเชิญสัตบุรุษให้มาวัดทุกเย็นเพื่อสวดสายประคำ 
และอ่านข่าวสารล่าสุดเกี่ยวกับสงครามซึ่งถูกนำมาติดตั้งไว้หน้าวัด 
พระสงฆ์อธิบายให้พวกเขารับรู้ถึงสถานการณ์ 
ในเวลาเดียวกันก็กระตุ้นเตือนพวกเขาให้สวดสายประคำสำหรับทหาร 
และผู้ที่เกี่ยวข้องกับสงคราม  ตอนเช้าเวลา 5.30 น. มีการแห่ไปที่ป่าช้า
และสวดสายประคำสำหรับทหารที่เสียชีวิตในสงคราม
และทหารที่ประจำการอยู่ตามสนามเพลาะ 
เมื่อกลับมาจากป่าช้าขบวนแห่ก็หยุดอยู่ที่สักการะสถานแห่งแม่พระมหาทุกข์
บนแม่น้ำนาวีลีโอ (Naviglio) เพื่อร่วมพิธีบูชามิสซาอุทิศให้แก่ทหารที่เสียชีวิตในสงคราม  
สัตบุรุษต่างคุกเข่าต่อหน้าพระรูปแม่พระมหาทุกข์ 
พนมมือสวดสายตาก็จดจ้องอยู่ที่พระรูปของแม่พระมหาทุกข์
ซึ่งมีน้ำตาไหลรินอยู่บนใบหน้าสีแดงเรื่อเพราะความเศร้าโศก 
เมื่อจบพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณแล้ว
ก็ตั้งขบวนแห่พร้อมกับสวดสายประคำกลับไปที่วัด 
ที่นั่นก็ร่วมพิธีบูชามิสซาขอบพระคุณเพื่อวอนขอสันติภาพ
และสิ่งที่จำเป็นสำหรับทหารที่ยังมีชีวิตอยู่และเสียชีวิตไปแล้ว