พบกับแม่พระ ณ วัดอัสสัมชัญ 1950
วันเวลาผ่านไป ในการริเริ่มการตั้งคณะฯ
จำนวนหนี้สินก็สูงขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากพ่อต้องกู้ยืมเงินมา
เพื่อสร้างโรงเรียนและเลี้ยงดูกลุ่มหญิงสาวโปสตุลันต์
พ่อจึงตั้งใจเป็นพิเศษว่าในช่วงเวลาเข้าเงียบประจำปี
ของพระสงฆ์ธรรมทูตยุโรปของสังฆมณฑลกรุงเทพฯ
พ่อจะใช้เวลาว่างทั้งหมดเพื่อสวดสายประคำ
และอยู่ต่อหน้าศีลมหาสนิทในวัด
ในเวลาเดียวกันพ่อก็เชิญชวนบรรดาหญิงสาวโปสตุลันต์
เมื่อสวดสายประคำแล้ว ก็ให้สวดขอความช่วยเหลือจากนักบุญโยเซฟด้วย
ในช่วงท้ายของการเข้าเงียบร่วมกับบรรดาพระสงฆ์ที่วัดอัสสัมชัญ
พ่อเล่าว่า “พ่ออยู่ในวัดตามลำพังและสวดสายประคำศักดิ์สิทธิ์
ตาพ่อจ้องอยู่ที่รูปปั้นแม่พระเสด็จขึ้นสวรรค์
ทันใดนั้นรูปหายไป พ่อเห็นแม่พระประทับนั่งบนบัลลังก์ใหญ่แทน
ขณะที่พ่อคิดจะขอความช่วยเหลือ
พระมารดาทรงก้มพระเศียรและทรงมองพ่อ ตรัสว่า
“จงไปหานักบุญโยเซฟ”
ตรัสแล้วก็อันตรธานไป
พ่อเห็นรูปแม่พระเสด็จขึ้นสวรรค์เหมือนเดิม
ทางด้านขวาที่พ่อกำลังสวดอยู่ มีพระแท่นและรูปปั้นนักบุญโยเซฟ
พ่อจึงหันไปสวดขอความช่วยเหลือจากท่าน
..........................................................................
จากนั้นมาทุกวันหลังสวดภาวนาค่ำ
พ่อจะให้ทุกคนคุกเข่ากางแขนแล้วสวดภาวนาว่าดังนี้
“ข้าแต่พระมารดาและนักบุญโยเซฟ
โปรดช่วยให้มีโรงเรียนที่สามเร็วๆขึ้น” สวด 10 จบเช่นนี้ทุกวัน
เวลานั้นมีโรงเรียนแห่งที่ 2 แล้ว จึงขอต่อ
เมื่อได้โรงเรียนที่สามแล้วก็ขอต่อ 4 และ 5 ...
พ่อบอกว่าการที่ขอให้มีโรงเรียนมากขึ้นนั้น
เพื่อจะได้มีการสรรเสริญแม่พระมากขึ้น
เพราะเด็กทุกคนที่เข้ามาเรียนในโรงเรียนพระแม่มารี
จะสวดบทวันทามารีก่อนเข้าเรียนและหลังเลิกเรียนทุกๆวัน
นอกจากนี้เมื่อคุณพ่อมาสร้างโรงเรียนที่ตรอกจันทน์
จำได้ว่าห้องสุดท้ายของอาคารเรียนที่ติดกับประตูทางเข้า-ออก
คุณพ่อได้เอารูปปั้นนักบุญโยเซฟมาตั้งไว้บนหลังตู้เก็บเอกสาร
และทุกครั้งที่พวกเราเดินผ่านห้องนี้ทั้งเช้าและเย็น
จะต้องแวะเข้าไปสวดต่อหน้ารูปนักบุญโยเซฟ
ขอความช่วยเหลือคุ้มครองจากท่านตลอดเรื่อยมา
และพ่อยังสอนพวกเราให้หมั่นสวดบท “เยซู มารี โยเซฟ”
บ่อยๆ ตลอดวัดและในขณะเดินทาง
.........................................