โทรเลขจากเมืองมีลาน (Milano)
เมื่อพ่อไปรายงานตัว นายทหารประจำการได้บอกพ่อว่า
“มีโทรเลขมาถึงคุณ ให้รีบกลับบ้านเพราะบิดากำลังจะตาย”
แล้วก็พูดต่อว่า “เวลาสี่โมงเย็นจะมีเรือใหญ่ลำหนึ่ง
ออกเดินทางจากอ่าววัลโลนา (Valona) โดยมีทหาร 400 คน
และนายทหารที่ป่วยด้วยโรคมาเลเรียโดยสารไปด้วย”
เมื่อดูเวลาก็เห็นว่าเป็นเวลาบ่ายสองโมงแล้ว
แถมไม่มีรถไปท่าเรือเพราะทหารข้าศึก
ได้ทำลายเส้นทาง พ่อจึงถามว่าพอจะมีทางลัดไปท่าเรือหรือไม่
เขาได้แต่ชี้ให้พ่อมองไปที่เนินเขาลูกหนึ่งพร้อมกับบอกว่า
“ท่าเรืออยู่หลังเนินลูกนั้น”
เมื่อไม่มีทางเลือก พ่อออกเดินไปสู่ชายป่า
ตาก็คอยมองเนินเขาลูกนั้นไว้
ก่อนจะเดินเข้าป่าพ่อก็หยุด
เพื่อสวดขอความคุ้มครองจากเทวดารักษาตัว
“ข้าแต่อารักขเทวดา ท่านดีกับผมเสมอมา
และช่วยผมให้พ้นอันตรายต่างๆมาโดยตลอด
โปรดช่วยผมให้ผ่านป่านี้ไปอย่างปลอดภัยและทันขึ้นเรือด้วยเถิด”
หลังจากนั้นพ่อก็ทำสำคัญมหากางเขนและสวดบทวันทามารีอา
แล้วก็เริ่มวิ่งเข้าไปในป่า ตาก็คอยมองเนินสูงเป็นระยะ
พ่อต้องผ่านหลุมที่มีน้ำขัง ผ่านพุ่มไม้ ผ่านหญ้ารกสูงท่วมหัว
แถมหนาเหมือนกับแกล้งไม่ให้ผ่าน
แต่พ่อกลับรู้สึกอาจหาญ
เหมือนเมื่อครั้งเป็นทหารจู่โจม มุ่งไปข้างหน้า
ไม่เสียเวลาหยุดพัก
ที่สุดก็มาถึงชายป่าด้านหน้าเนินเขาสูง
ตามด้วยที่ราบกว้างใหญ่ ไม่มีต้นไม้ขึ้น ตั้งอยู่ระหว่างป่าและท่าเรือ
พ่อตรงไปยังเรือที่ทอดสมออยู่
แล้วก็ได้ยินเสียงวูดเรือบอกให้รู้ว่าเรือกำลังออกเดินทาง
ในขณะที่สะพานเรือกำลังจะถูกยกเก็บ
พ่อเร่งฝีเท้าและกระโดดยาวเหมือนตอนที่เป็นทหารจู่โจม
นไปบนสะพานเรือได้ทันเวลา
ทหารคนหนึ่งเห็นพ่อวิ่งด้วยความรวดเร็ว
ลิ้นห้อยปาก เหมือนหมาล่าสัตว์
ก็โยนขนมปังเนื้อกระป๋องและบุหรี่ซองหนึ่งขึ้นไปให้พ่อบนสะพานเรือ
พ่อขอบคุณทหารที่น่ารักคนนั้น
แล้วก็หยิบขนมปัง เนื้อกระป๋อง และซองบุหรี่แล้วเข้าไปในเรือ
ลิ้นยังห้อยยาวจากปากเพราะความเหนื่อย
การเดินทางกลับ
ขณะที่เรือถอยแล่นออกจากฝั่งมุ่งสู่ทะเลกว้าง
ความคิดของพ่อหวนกลับไปถึงบรรดาทหารที่เจ็บป่วยอยู่ในแนวหน้า
พ่ออะไรไม่ได้นอกจากสวดขอพระแม่สวรรค์
ช่วยดูแลและปกป้องพวกเขาให้มีสุขภาพ ปลอดภัย จนกว่าจะได้กลับบ้าน
แล้วนั้นพ่อก็โมทนาคุณพระแม่เจ้าสวรรค์และอารักขเทวดาสำหรับทุกอย่าง
พร้อมทั้งวอนขอให้พ่อปลอดภัยทั้งฝ่ายร่างกายและจิตใจ
เมื่อสวดเสร็จ พ่อรู้สึกหิวจึงทานขนมปังและเนื้อกระป๋อง
ด้วยความรู้คุณต่อพระเจ้าที่ประทานสิ่งเหล่านี้ให้โดยไม่คาดคิด
เมื่อมองไปที่ซองบุหรี่พ่อก็คิดว่า ถึงจะเคยสูบบุหรี่เมื่ออยู่ที่Albania
เพื่อป้องกันไข้มาเลเรียเหลือง
แต่บัดนี้ที่ไม่มีอันตรายจากโรคนี้แล้วพ่อจึงตัดสินใจทิ้งบุหรี่ลงในทะเล
พร้อมกับตั้งใจว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไปพ่อจะไม่สูบบุหรี่อีกเลยตลอดชีวิต
เพื่อแสดงความกตัญญูต่อพระผู้เป็นเจ้าที่ได้ทรงช่วยพ่อให้พ้นจากอันตรายต่างๆ
ในขณะที่ทิ้งบุหรี่ลงทะเล
พ่อก็ระลึกถึงคำพูดของคุณแม่ที่สอนพ่อบ่อยๆว่า
“จงจำไว้ว่า การพูดและการทำต่างกันราวกับมหาสมุทร”
และ “ถ้าไม่สวดภาวนา เราก็จะไม่สามารถจะข้ามมหาสมุทรนี้ได้”
ดังนั้น เมื่อสวดภาวนาค่ำ
พ่อจึงได้วอนขอพระหรรษทาน
เพื่อจะได้รักษาคำสัญญานั้นไว้ตลอดชีวิต
เรือแล่นราบเรียบไปตามทะเล
ส่วนพ่อนอนหลับอยู่คนเดียว
บนดาดฟ้าเรือมีทหารป่วยนอนอยู่
เมื่อพ่อรู้สึกตัวเรือก็กำลังแล่นเข้าท่าเรือเรือบรินเดซี (Brindisi)
แต่ต้องหยุดอยู่นอกชายฝั่ง เพราะมีทหารป่วยเป็นไข้มาเลเรียเหลือง
อยู่บนเรือ เวลาเก้าโมงเช้า
มีเรือยนต์ใหญ่สองลำขนแพทย์ทหารมายังเรือของเรา
และขึ้นมาตรวจผู้โดยสาร พ่อถูกเรียกไปตรวจเป็นคนแรกๆ
แพทย์ทหารคนหนึ่งมองหน้าพ่อและเอามือแตะคอด้านขวาของพ่อ แล้วพูดว่า
“คุณลงไปได้ ท่าทางคุณจะแข็งแรงกว่าผมเสียอีก”
นายทหารคนหนึ่งที่ป่วยเป็นไข้มาเลเรียเหลือง
ได้ขอร้องแพทย์ทหารให้พ่อพาเขาไปโรงพยาบาลทหาร
พ่อก็ยินดีช่วย เราลงจากเรือและขึ้นเรือยนต์ลำหนึ่ง
เมื่อขึ้นจากเรือยนต์ก็ตรงไปยังตลาดผลไม้เมืองบรินเดซี (Brindisi)
ตอนนั้นทั้งเนื้อทั้งตัวพ่อมีเงิน 72 เซนต์
หลังจากที่ปรึกษากับนายทหารป่วยที่มาด้วยกัน
พ่อก็ซื้อลูกพรุนเป็นเงิน 72 เซนต์
หญิงที่ขายผลไม้เห็นพ่อปลิ้นกระเป๋าเอาเหรียญเงิน
ก็ถามว่าพ่อกำลังไปไหน พ่อก็บอกเธอว่าจะไปโรงพยาบาลที่ Milano
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เธอก็หยิบลูกพรุนเพิ่มให้อีก 2 เท่า
พร้อมกับอวยพรว่า “ขอให้พระเจ้าผู้ทรงพระทัยดี
ติดตามและช่วยคุณทั้งสองให้ไปถึงอย่างปลอดภัย”
การเดินทางไปเมืองมีลาน (Milano)
เมื่อซื้อลูกพรุนแล้ว
เราก็ตรงไปที่สถานีรถไฟเพื่อขึ้นรถไฟทหาร
เราทานลูกพรุนเป็นอาหารเที่ยงบนรถไฟ
เมื่อกินลูกพรุนจนอิ่มแล้วเราก็รอรถไฟออก
เพื่อนทหารที่มาด้วยกันขอน้ำเพื่อล้างหน้า
เนื่องจากไม่ได้ล้างหน้ามาหลายวันแล้ว
พ่อก็ส่งน้ำ แต่พอล้างหน้าแล้วเขาก็หันมาจ้องหน้าพ่อ
และตัวเริ่มสั่นเทิ้ม
พ่อจับแขนเขาพร้อมกับถามว่าเป็นอะไร
เขาตอบว่า “เป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่ผมล้างหน้า”
พูดแล้วก็ทานยาที่ติดตัวมา
ภายในครึ่งชั่วโมงอาการสั่นของเขาค่อยๆลดลง
พ่อพยายามปลอบใจและให้กำลังใจเขาบอกเขาว่า
อีกหนึ่งวันและหนึ่งคืนเท่านั้นก็จะถึงโรงพยาบาลแล้ว
เมื่อถึงโรงพยาบาลพ่อก็จะบอกแพทย์ทหารว่า
เรามียาดี ยาที่ดีที่สุดที่สามารถโรคมาเลเรียเหลือง
ได้คือยาที่พระแม่ผู้ใจดีของเราผู้ประทับในสวรรค์ประทานให้
เพราะว่าเมื่อเราสวดบทวันทามารีอาด้วยกันเราก็จะสวดว่า
“สันตะมารีอา มารดาพระเจ้าโปรดภาวนาเพื่อเรา
และข้าพเจ้าบัดนี้ที่กำลังป่วยอยู่ และเวลาที่จะตายเทอญ”
นายทหารที่ป่วยก็มองหน้าพ่อพร้อมกับหัวเราะ
พร้อมกับผงกหัวเหมือนกับยืนยันว่าสิ่งที่พ่อพูดนั้นจริง
หลังจากสวดบทวันทามารีอา นอนพัก
แล้วตื่นขึ้นมากินลูกพรุน
เราก็มาถึงสถานีรถไฟของMilano
เมื่อลงจากรถไฟ
เราก็ออกจากสถานีและถามทางไปโรงพยาบาล
จากนั้นเราก็มุ่งหน้าไปโรงพยาบาล
ซึ่งก่อนสงครามเคยเป็นโรงพยาบาลสำหรับคนป่วยด้วยโรคไทฟอยด์
โดยมีป้ายใหญ่เขียนไว้ที่หน้าทางเข้าว่า
“ใครเข้าไปก็หมดสิทธิ์ออก”
เมื่อนำเพื่อนที่ป่วยไปถึงโรงพยาบาลแล้วพ่อก็หมดหน้าที่
เราล่ำลากันด้วยความรักใคร่เหมือนดังพี่น้อง
ที่ผ่านความยากลำบากแห่งชีวิตทหารด้วยกัน
พอออกจากโรงพยาบาลพ่อก็มุ่งหน้ากลับบ้าน
การสิ้นสุดชีวิตทหาร
เมื่อกลับมาถึงบ้าน
พ่อพบว่าบิดาป่วยเป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย
และไม่สามารถทานอาหารได้
แต่ละวันทานได้แค่น้ำแข็งบดใส่น้ำตาล
และน้ำมะนาวเล็กน้อย
เมื่อออกจากอัลบาเนีย (Albania)
พ่อไม่ได้รับเอกสารที่ระบุว่าพ่อได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้
หลังจากกลับมาบ้านได้ 3 วัน
นายร้อยตำรวจคนหนึ่งได้มาหาพ่อขอดูเอกสารอนุญาตให้กลับบ้าน
พ่อก็บอกเขาว่าพ่อได้เห็นแค่โทรเลขที่เรียกตัวกลับบ้าน
และเนื่องจากต้องรีบขึ้นเรือ
พ่อจึงไม่มีเวลาย้อนกลับไปขอเอกสารดังกล่าวได้
นายตำรวจจึงพูดยืนกรานว่า
“ถ้าคุณไม่มีเอกสารยืนยันการการอนุญาตกลับบ้าน
คุณก็ต้องกลับไปเป็นทหารภายใน 3 วัน”
ในสมัยนั้น ลัทธิฟาสซิส (Fascism) กำลังมีอำนาจ
และตำแหน่งนายกเทศมนตรีถูกเปลี่ยนเป็นนายอำเภอ
ซึ่งมีอำนาจทั้งทางบ้านเมืองและทางทหาร
นายอำเภอของเมืองแชร์นุสโก (Cernusco) ประจำอยู่ที่เมืองมีลาน (Milano)
พ่อจึงต้องไปทำเรื่องที่นั่น
เมื่อถึงที่ทำงานของนายอำเภอ
พบชายหนุ่มคนหนึ่งอายุประมาณ 30 ปี
ซึ่งเมื่อเห็นพ่อแต่งเครื่องแบบทหารก็ยิ้มให้
พ่อถามว่าเขาว่าจะพบนายอำเภอได้ที่ไหน
เขาก็เอามือชี้ที่หน้าอกและบอกว่าเขาคือนายอำเภอ
พร้อมกับถามว่าเขาจะช่วยอะไรได้บ้าง
พ่อจึงเล่าเรื่องราวให้เขาฟัง
หลังจากที่รับทราบเรื่องราวแล้ว นายอำเภอก็พูดว่า
“ผมเข้าใจแล้ว คุณจงกลับไปบ้าน และสบายใจได้
ผมจะแจ้งให้นายตำรวจที่เชนุสโกทราบ”
และนั่นคือการสิ้นสุดของชีวิตทหาร