สักการะสถานแห่งแม่พระมหาทุกข์
เป็นวัดน้อยที่สร้างอยู่ทางทิศใต้ของคลองนาวีลีโอ (Naviglio)
ห่างจากฝั่งประมาณสิบเมตร อยู่ทางฟากของเมืองแชร์นุสโก (Cernusco)
ตามข่าวที่มีสักการะสถานเล็กๆแห่งแม่พระมหาทุกข์นี้
ทุกวันนี้เหมือนในอดีตยังเป็นศูนย์กลางของความศรัทธาต่อแม่พระมหาทุกข์
เรื่องราวเกี่ยวกับอัศจรรย์ในการสร้างสักการะสถานเล็กๆ
แห่งแม่พระมหาทุกข์บนฝั่งคลองนาวีลีโอ (Naviglio sul Cernusco)
มีเก็บไว้ในห้องเอกสารของวัดแห่งเมืองแชร์นุสโก (Cernusco)
เรื่องเล่าว่ามีการบรรทุกรูปปั้นแม่พระไว้บนเรือลำหนึ่งในขบวนเรือสินค้า
ซึ่งออกเดินจากเมืองมีลาน (Milano)
โดยมีม้าลากไปตามคลองนาวีลีโอ (Naviglio) มุ่งขึ้นไปทางเหนือ
แต่ในขณะที่ขบวนเรือกำลังรอดใต้สะพานนาวีลีโอ (Naviglio sul Cernusco)
ได้ประมาณ 100 เมตร ขบวนเรือก็หยุดลง
แม้ว่าม้าจะพยายามออกแรงเท่าไรก็ไม่สามารถขยับเขยื้อนขบวนเรือไปได้เลย
เหตุการณ์นี้ได้มีการนำไปรายงานให้แก่ผู้ใหญ่ฝ่ายศาสนาและบ้านเมือง
ซึ่งก็มายังสถานที่เกิดเหตุ
หลังจากที่ได้ปรึกษากัน ก็มีการตัดสินใจ
ให้นำหีบบรรจุรูปปั้นแม่พระมหาทุกข์ขึ้นจากเรือ
เมื่อทำเช่นนั้นแล้วขบวนเรือก็สามารถแล่นต่อไปได้
แต่พอนำหีบบรรจุรูปปั้นแม่พระมหาทุกข์ลงไปในเรือใหม่
ขบวนเรือก็ไม่สามารถแล่นไปได้อีกเช่นเดิม
เมื่อเป็นเช่นนี้จึงได้มีการตัดสินใจ
ให้เก็บรักษารูปปั้นแม่พระมหาทุกข์ไว้ที่เมืองแชร์นุสโก (Cernusco)
หลังจากที่ได้มีการเจรจากับเจ้าหน้าที่ฝ่ายผู้ใหญ่ของเมืองมีลาน (Milano)
ชาวเมืองแชร์นุสโก (Cernusco) ได้มีการประชุมและตัดสินร่วมกัน
ที่จะสร้างสักการะสถานน้อยๆสำหรับแม่พระมหาทุกข์
ซึ่งได้รับการเคารพสักการะจากชาวเมืองแชร์นุสโก (Cernusco)
ละเป็นสถานที่หลบภัยสำหรับบุคคลที่เป็นทุกข์โศกเศร้า
ที่ต่างก็อยากจะเข้าหาพึ่งพาพระมารดา
เสียงลือเกี่ยวกับสงครามในยุโรป
ในขณะที่เมืองแชร์นุสโก (Cernusco) ชาวบ้านดำเนินชีวิตด้วยความศรัทธา
และปรองดองกันเยี่ยมคริสตชน
สถานการณ์ของยุโรป หลังจากที่สิ้นสุดสงครามที่ลิเบียแล้วดูจะย่ำแย่ลงไป
เหมือนกับมีเมฆดำมาปกคลุม เพราะการคุกคามของสงคราม
หนังสือพิมพ์พูดถึงประเทศในยุโรปเปรียบกับทะเลที่บ้าคลั่ง
ซึ่งดูเหมือนจะต้องพังสลายไป
ศูนย์กลางของพายุอยู่ที่ประชาชนชาวบอลข่านซึ่งลงเอยด้วยสงครามกลางเมือง
ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านพยายามเข้าไปเจรจาเพื่อให้เกิดความปรองดองขึ้น
แต่ก็ลงเอยด้วยการที่ไม่สามารถเข้าใจกันได้
จึงเกิดสงครามระหว่างประเทศต่างๆของบอลข่าน
และพอประเทศเยอรมันเข้ามามีบทบาทก็เลยเกิดสงครามครั้งที่ 1 ขึ้น
ในปี ค.ศ 1914 - 1919
ประเทศอิตาลีเข้าร่วมสงคราม
ในตอนเริ่มต้นสงครามโลกประเทศอิตาลีประกาศตัวเป็นกลาง
แต่ก็ไม่ยอมหยุดที่จะเรียกร้องเมืองตรีเอสเต (Trieste) กลับมาเป็นของอิตาลี
ที่จริงแล้วประเทศอิตาลีรู้ดีว่ายังไม่พร้อมที่จะทำสงคราม
ยิ่งไปกว่านั้นประชาชนก็แบ่งแยก
และคงจะไม่สามารถที่จะมีชัยชนะในกรณีของเมืองตรีเอสเต (Trieste) ได้ง่ายๆ
อย่างที่เคยมีชัยชนะในไซเบีย แต่แล้วเมื่อมีการกดดันจากฝ่ายพันธมิตร
ประเทศอิตาลีจึงต้องเริ่มเตรียมเข้าร่วมสงคราม
ภายใต้การกดดันและทำสัญญาที่จะได้รับความช่วยเหลือจากฝ่ายพันธมิตร
ประเทศอิตาลีจึงได้ประกาศสงครามกับประเทศออสเตรีย
ซึ่งเป็นต้นเหตุของการที่จะได้เมืองตรีเอสเต (Trieste) และบริเวณใกล้เคียงกลับมาใหม่
แม้ประเทศอิตาลีจะประกาศทำสงครามกับประเทศออสเตรียแต่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก
ได้แต่ขุดหลุมเพาะและส่งทหารไปประจำในหลุมเพาะเป็นเวลานาน
ต้องทนหนาวความเยือกเย็นและฝน
ทหารหลายคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูหนาว
ต้องโดนความเยือกเย็นในนิ้วมือ และนิ้วเท้า
จนกระทั่งไม่สามารถที่จะถือปืนในมือได้
กระนั้นก็ดีก็ยังมีการเกณฑ์ทหารอย่างไม่หยุดหย่อน
การทรยศของนายพลกัปเปลโล (Cappello)
สุภาษิตอิตาเลียนพูดไว้ว่า "อิตาเลียน สามคน แบ่งเป็นสี่พรรค"
สะท้อนให้เห็นถึงสภาพการทำสงครามได้อย่างดี
นายพลกัปเปลโล (Cappello )ซึ่งได้รับการขนานนามว่า
เป็นหนึ่งในหัวหน้าของพรรค Framassoni
เป็นผู้บังคับบัญชาการสูงสุดของกองทัพอิตาลี
ร่วมกับนายพลบางคนได้ทรยศและขายประเทศอิตาลีให้แก่ประเทศออสเตรีย
ข่าวแรกเกี่ยวกับการทรยศนี้กล่าวว่า
มีทองที่ถูกนำมาซ่อนไว้ในหลุมเพาะของทหาร
ทว่า ไปลงเอยอยู่ที่กระเป๋าของผู้ทรยศ
วันหนึ่งพ่อได้พูดกับคุณพ่อยอแซฟ ปีนัฟโฟ (Giusppe Pinaffo)
ซึ่งเคยเป็นทหารและมียศเป็นผู้บังคับกอง ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
คุณพ่อได้เล่าให้พ่อฟังเกี่ยวกับเหตุการณ์ครั้งนี้ว่า
มีการที่กองทัพอิตาเลียนต้องถอยทัพออกจากแนวหน้า
ที่เมืองเตรนโต (Trento) ด้วยความหวาดกลัว
คุณพ่อยังบอกว่า
"สองวันก่อนที่จะได้รับคำสั่งให้วางอาวุธ
และถอยทัพจากแนวหน้าอย่างกระทันหัน
โดยไม่ต้องรอคำสั่งจากผู้บังคับบัญชานั้น
มีการสังเกตว่าไม่ได้ยินเสียงปืนจากแนวหน้าทุกแห่งเลย
ดินฟ้าอากาศก็แย่มาก ท้องฟ้าปกคลุมด้วยเมฆฝนตกอย่างต่อเนื่อง
ชุดทหารก็เปียกโชก ความหนาวก็ซึมเข้าไปจนถึงกระดูก
เมื่อเป็นเช่นนี้ต่างคนต่างก็คิดว่ากำลังมีการเจรจาสันติภาพกันอยู่รึเปล่า
แล้วทันทีทันใดก็มีผู้สื่อข่าวทหารมาจากแนวหน้านำคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาสูงสุดมาให้
คำสั่งนั้นคือ 'จงวางอาวุธ และถอยทัพจากแนวหน้าทันที
โดยไม่ต้องรอคำสั่ง ลงชื่อผู้บังคับบัญชาการสูงสุดแห่งกองทัพอิตาลี'
ความวุ่นวายทั่วไป
เมื่อได้รับคำสั่งทหารทุกคนก็สับสนวุ่นวาย
บ้างก็ตะโกนว่า"ทรยศ" เพราะไม่เห็นว่ามีการรบในแนวหน้าเลย
นอกนั้นก็มีเสียงร้องไห้ เสียงแห่งความสิ้นหวัง
ทหารทุกคนต่างกลับจากแนวหน้าอย่างรีบเร่ง บ้างก็วิ่ง
ผมเดินมากับพวกทหารและนายทหาร
ทุกคนเปียกปอนด้วยน้ำฝน หิวโหย รู้สึกละอาย หมดกำลังใจ
ไร้ซึ่งกำลังใดๆ ต้องพ่ายแพ้โดยไม่ได้เห็นตัวศัตรูที่ไล่เรามาจากแนวหน้า
ผมเดินคอตก คิดถึงสิ่งที่คุณพ่อรัวได้บอกให้มีความซื่อสัตย์ต่อคณะ
ผมต้องเดินกลับมาจากแนวหน้าและรู้สึกเหนื่อยมาก จนหมดกำลัง
ผมสวดขอแม่พระองค์อุปถัมภ์ของคริสตังค์จนสุดกำลัง
วอนขอพระแม่ได้ช่วยผมให้กลับมายังคณะ
ทันทีทันใดผมก็เห็นรูปแม่พระองค์อุปถัมภ์ซึ่งกำลังมองผม
แล้วผมก็เป็นลม และไม่รู้เรื่องอีกเลย
เมื่อฟื้นขึ้นมาเหมือนกับตื่นจากความฝันที่ยาวนาน
ผมก็พบว่ากำลังอยู่ในห้องรวมที่มีทหารของกาชาดโดยที่มีหมอทหารประจำอยู่
กองทัพแนวหน้า
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
กองทัพอิตาลีที่อยู่ในแนวหน้าต่างหนีกันไปหมด
ทหารที่ต้องอับอายขายหน้าอันเนื่องมาจากการทรยศของผู้บังคับบัญชา
ละทิ้งแนวหน้า และหลายคนก็หนีกองทัพ ไม่อยากที่จะสู้รบต่อไป
ฝ่ายรัฐบาลเองก็มีความหวาดกลัวในสิ่งที่เกิดขึ้น
อีกทั้งสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในกองทัพ
จึงได้ขอความช่วยเหลือด้านอาวุธและอาหารจากประเทศเพื่อนบ้าน
ซึ่งแต่ละประเทศก็ตอบรับช่วยเหลืออย่างทันท่วงที
และด้วยใจกว้างขวางหลังจากนั้นทางรัฐบาล
ได้มีคำสั่งเรียกเยาวชนตั้งแต่อายุ 16 ปีขึ้นไป
และชายหนุ่มที่มีอายุไปถึง 45 ปี ให้มาเป็นทหาร
กระนั้นก็ดีไม่ใช่ว่าจะเป็นการเรียกทุกคนในเวลาเดียวกัน แต่เป็นชั้นๆไป
ในเวลาเดียวกันผู้บังคับบัญชาสูงสุดแห่งกองทัพ
ก็ได้ส่งทหารสองรุ่นสุดท้ายที่กำลังรับการฝึกอยู่ไปที่แนวหน้าในช่วงปี 1898 -1899
ได้มีการตั้งแนวหน้าไว้บริเวณแม่น้ำปีอาเว (Piave)
ส่วนรุ่นปี 1899 ที่ยังมีไฟอยู่ก็ถูกส่งไปป้องกันสถานที่อยู่ในสถานการณ์หมิ่นเหม่
กองทัพข้าศึกเพื่อจะเข้ามาในประเทศอิตาลี
ต้องขอทางผ่านจากสองกองพันนี้ซึ่งตั้งที่มั่นอยู่บนฝั่งแม่น้ำ
ด้านตรงข้ามพวกศัตรูซึ่งต่างก็กำลังรุกเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ทหารอิตาเลียนที่ตั้งมั่นอยู่บนฝั่งแม่น้ำปีอาเว (Piave)
ได้เขียนป้ายใหญ่ติดตั้งไว้ให้ฝ่ายข้าศึกที่กำลังรุกเข้ามาเห็น
สิ่งที่เขียนในป้ายนั้นคือ “ห้ามผ่าน
ถ้าร่างกายของเราถูกฆ่าจิตวิญญาณของเราที่ออกจากร่างกายที่ตายไปแล้ว
จะจับปืนเพื่อป้องกันร่างกายที่ไร้ชีวิต
และกีดขวางข้าศึกไม่ให้ผ่านเข้ามาในประเทศอิตาลีอย่างเด็ดขาด”
ข่าวคราวเกี่ยวกับสงครามเราต่างก็รับรู้จากการอ่านความเคลื่อนไหวของสงคราม
ที่ทางกองบัญชาการมอบให้เป็นรายวันโดยเขียนข่าวคราวไว้ในแผ่นกระดาษใหญ่
เพื่อให้ทุกคนสามารถอ่านได้ ซึ่งคนที่อ่านแล้วต่างก็มีความหวาดกลัวในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น
ศัตรูที่รุกเข้ามาถึงริมฝั่งแม่น้ำปีอาเว (Piave) ต้องหยุดและแอบอยู่ในคูรบ
เพราะต้องเผชิญกับการป้องกันที่เข้มแข็ง
มีทหารล้มตายเป็นจำนวนมากจากทั้งสองฝ่าย
ทหารรุ่นปี 1899 ต้องสูญเสียจำนวนมากหลายคนเสียชีวิตแต่ก็ไม่ยอมให้ศัตรูปล่อยไปได้
ฝ่ายข้าศึกต้องจำยอมและเก็บตัวอยู่ในสนามเพลาะโดยไม่คิดที่จะเข้ามาในประเทศอิตาลี
เพื่อมากินอาหารเที่ยงที่เมืองนั้นหรืออาหารเย็นที่เมืองนี้
ตามที่มีการเขียนไว้ในข่าวสงครามจากศูนย์บัญชาการทหาร
และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับรู้
ประชาชนในช่วงเวลานั้น
ข่าวคราวที่มาจากแนวหน้าของสงคราม
สร้างความประทับใจให้แก่ประชากรอิตาลีเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มิลานต่างหวาดหวั่นที่จะต้องตกอยู่ในมือของข้าศึก
ชาวเมืองมิลานและจังหวัดใกล้เคียงแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม
กลุ่มที่กล้าหาญ กลุ่มที่ไม่สนใจ และกลุ่มของผู้หลบหนี
กลุ่มของผู้ที่กล้าหาญหรือวีรบุรุษอย่างที่เรียกกัน
ประกอบขึ้นด้วย ผู้ชาย เยาวชน และเด็กนักเรียน
กลุ่มที่มีไฟมากกว่าหมดคือ
กลุ่มนักเรียนที่แบ่งเป็นกลุ่มๆ ถืออาวุธกระดาษในมือ
และตระเวนไปตามถนนต่างๆร้องตะโกนว่า “ชัยชนะเป็นของเรา”
พร้อมกับชูอาวุธกระดาษ และตะโกนว่า
“ห้ามผ่าน ถ้าเราถูกฆ่าวิญญาณของเราก็จะออกจากร่าง
และหยิบปืนขึ้นมาเพื่อป้องกันร่างกายที่ไร้ชีวิตของเรา และประเทศชาติ”
เป็นแนวเดียวกันกับสิ่งที่พวกเขาได้อ่านและได้ยินจากข่าวสารสงคราม
กลุ่มที่ไม่สนใจเดินไปเดินมาด้วยใบหน้าไร้ซึ่งความรู้สึก
และได้แต่อ่านข่าวสงคราม ใบหน้าของพวกเขานั้นซีดเผือด
เนื้อตัวสั่นไปด้วยความหวาดกลัว เดี๋ยวก็ยิ้ม เดี๋ยวก็มีทีท่ามั่นใจ
ตามสิ่งที่พวกเขาได้ยินคนวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับข่าวของสงคราม
กลุ่มพวกผู้หลบหนีจากแนวหน้า
และถอดเครื่องแบบทหารอยู่กระจัดกระจายทั่วไปหมด
พวกเขาดำเนินชีวิตหลบซ่อน หิวโซ กระหายน้ำ ดูต่ำต้อย
และขมขื่นเหมือนสัตว์ร้าย
พวกเขาโมโหง่ายเต็มไปด้วยความโกรธที่ถูกทรยศ
และขายจากผู้บังคับบัญชาที่ดำเนินชีวิตหลบซ่อนอยู่ตามทุ่งนา
ในป่า บนต้นไม้ แฝงตัวอยู่หลังใบไม้
ช่วงเวลากลางคืนพวกเขาก็ลงมาเพื่อหาปังและผลไม้
ชาวบ้านก็ช่วยพวกเขาตามที่ช่วยได้
ในแถบทุ่งนาแห่งเชนุสโกมีหลายคนที่หลบซ่อนอยู่
ไม่เคยมีใครได้ยินเลยว่าพวกนี้จะขโมยหรือทำร้ายชาวบ้าน
แต่ถ้าตำรวจตามจับพวกเขาในความผิดที่หนีทหาร
พวกเขาก็จะต่อสู้ดังสัตว์ป่าที่ดุร้ายพวกเขาไม่อยู่แบบต่างคนต่างอยู่
แต่อยู่ด้วยกันเป็นกลุ่ม สอง สาม หรือสี่คน และช่วยเหลือกันและกัน
ความดีที่มาจากความชั่ว
คุณพ่อโจเซฟเป ปีนัฟโฟ ได้กล่าวว่าหายนะที่เกิดขึ้นที่กาโปร์เรตโต (Caporetto)
สร้างความหวาดหวั่นให้แก่ประชาชนทั่วประเทศอิตาลีเป็นอย่างมาก
ที่เมืองเชนุสโกเองชาวเมืองมีความร้อนรนมากขึ้น
เนื่องจากความหวาดกลัวและความหวัง
ในความช่วยเหลือของพระญาณเอื้ออาทรของพระเจ้า
คุณพ่อเจ้าวัดเชิญสัตบุรุษให้มาวัดทุกเย็นเพื่อสวดสายประคำ
และอ่านข่าวสารล่าสุดเกี่ยวกับสงครามซึ่งถูกนำมาติดตั้งไว้หน้าวัด
พระสงฆ์อธิบายให้พวกเขารับรู้ถึงสถานการณ์
ในเวลาเดียวกันก็กระตุ้นเตือนพวกเขาให้สวดสายประคำสำหรับทหาร
และผู้ที่เกี่ยวข้องกับสงคราม ตอนเช้าเวลา 5.30 น. มีการแห่ไปที่ป่าช้า
และสวดสายประคำสำหรับทหารที่เสียชีวิตในสงคราม
และทหารที่ประจำการอยู่ตามสนามเพลาะ
เมื่อกลับมาจากป่าช้าขบวนแห่ก็หยุดอยู่ที่สักการะสถานแห่งแม่พระมหาทุกข์
บนแม่น้ำนาวีลีโอ (Naviglio) เพื่อร่วมพิธีบูชามิสซาอุทิศให้แก่ทหารที่เสียชีวิตในสงคราม
สัตบุรุษต่างคุกเข่าต่อหน้าพระรูปแม่พระมหาทุกข์
พนมมือสวดสายตาก็จดจ้องอยู่ที่พระรูปของแม่พระมหาทุกข์
ซึ่งมีน้ำตาไหลรินอยู่บนใบหน้าสีแดงเรื่อเพราะความเศร้าโศก
เมื่อจบพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณแล้ว
ก็ตั้งขบวนแห่พร้อมกับสวดสายประคำกลับไปที่วัด
ที่นั่นก็ร่วมพิธีบูชามิสซาขอบพระคุณเพื่อวอนขอสันติภาพ
และสิ่งที่จำเป็นสำหรับทหารที่ยังมีชีวิตอยู่และเสียชีวิตไปแล้ว