สิ้นสุดสงคราม
เดชะบุญ ที่สงครามสิ้นสุดลงก่อน
ที่จะมีการเข่นฆ่ากันมากกว่านี้
ช่วงเวลา 4 ปีของสงครามทำให้ชีวิตเด็กหนุ่ม
และชีวิตบิดาของครอบครัวต้องสูญเสียไปมากต่อมาก
สภาพเศรษฐกิจของประเทศที่เข้าสงคราม
ก็ย่ำแย่ลงจนผู้นำประเทศเริ่มเห็นว่า
สงครามไม่เป็นประโยชน์แก่ฝ่ายใดๆทั้งสิ้น
ที่สุดจึงได้ตัดสินใจสงบศึก
และยุติการสู้รบในแนวหน้าทุกแห่ง
พร้อมกันนั้นก็เตรียมเจรจาสันติภาพ
ข่าวการเลิกสงครามและการเจรจาสงบศึก
แพร่กระจายไปตามแนวหน้าต่างๆ
ทหารทั้งสองฝ่ายเริ่มออกมาจากหลุมเพลาะ
เหมือนกับหนูออกมาจากรู
พร้อมกับชูมือหัวเราะด้วยความยินดีและทักทายกัน
เมื่อสิ้นปืนใหญ่ ปืนกล
และปืนยาวจากทั้งสองฝ่าย
ทหารต่างก็หลับนอนด้วยความเหน็ดเหนื่อย
ทหารทุกคนพากันยินดีกับการยุติสงคราม
โดยเฉพาะที่เป็นพ่อบ้าน
ต่างพากันถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ต่อไปนี้แต่ละเช้าพวกเขาจะได้เห็นใบหน้าอันงดงาม
และน่ารักของภรรยาและลูกๆ
คนที่มีคู่หมั้นก็ร้องเพลงรักอย่างเต็มอก
ส่วนคนที่ยังไม่แต่งงานและยังไม่มีคู่หมั้น
ต่างก็เหม่อมองไปยังอนาคตครุ่นคิดเกี่ยวกับชีวิต
วางแผนว่าจะดำเนินชีวิตอย่างไร
พวกเขามีไม่กี่คนเหมือนกับแมลงวันขาว
ต่างครุ่นคิดเงียบๆว่าจะดำเนินชีวิตอย่างไร
เพื่อประโยชน์ทั้งกายและวิญญาณ
จะได้บรรลุถึงชีวิตนิรันดร
ณ ที่ซึ่งจะไม่มีความตายอีกต่อไป
วันฉลอง
วันที่มีการเจรจาสงบศึกเป็นฉลองใหญ่สำหรับทหารแนวหน้า
พวกเขามีเวลาว่างทั้งวันและสามารถออกไปพักผ่อนนอกค่ายได้
มีทหารจากเหล่าและหน่วยต่างๆ พากันมาเยี่ยมหน่วยจู่โจม
พร้อมกับแบ่งปันเรื่องราวและร่วมกันยินดี
ในช่วงนั้นทหารแนวหน้าทุกคนรู้สึกเป็นพี่เป็นน้องกัน
ทุกคนรักกันอย่างจริงใจและอยากให้ทุกคนได้กลับบ้าน
ได้พบปะคนที่รักและมีชีวิตกับพวกเขา
กระนั้นก็ดีชีวิตของมนุษย์ยังต้องมีความทุกข์เจือปนอยู่
ในช่วงที่มีการเจรจาสงบศึก
แม้ทหารทุกคนและทุกฝ่ายจะมีความยินดี
แต่ก็อดรู้สึกเศร้าไม่ได้
เพราะในขณะที่ทหารส่วนหนึ่งได้มีโอกาสกลับบ้าน
แต่ก็มีอีกส่วนหนึ่งถูกฝังอยู่ในสุสานทหาร
เพื่อรอวันแห่งการกลับคืนชีพของร่างกาย
ในช่วงเวลาแห่งความยินดีสำหรับทหารแนวหน้านั่นเอง
พวกเขารู้สึกว่าต้องไปเยี่ยมเพื่อนทหารที่เสียชีวิต
อธิษฐานให้ได้มีโอกาสพบกับพวกเขาอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อนั้นจะไม่มีการพรากจากกันอีกต่อไป
เราทหารจู่โจมก็ไปเยี่ยมเยียนเพื่อนทหารจู่โจมที่เสียชีวิต
ที่สุสานทหารจู่โจมมีตัวอักษรใหญ่เขียนไว้ที่ทางเข้าว่า
“วีรบุรุษไม่ต้องการน้ำตา ขอให้มาดูว่าควรจะรักประเทศชาติขนาดไหน”
บทเรียนหนึ่งของชีวิต
หลังจากสิ้นสุดสงครามแล้ว
ได้มีการเคลื่อนย้ายทหารจากแนวหน้า
ไปสังกัดอยู่ตามค่ายทหารในเมืองต่างๆของประเทศอิตาลี
สำหรับหน่วยทหารจู่โจม
เนื่องจากเป็นทหารอาสาสมัครที่มาจากทหารหน่วยต่างๆ
จึงไม่เคยมีหน่วยนี้ในสงครามครั้งก่อน
หน่วยนี้ถูกตั้งขึ้นมาเป็นการเฉพาะกิจ
ดังนั้น เมื่อสิ้นสุดสงคราม หน่วยจู่โจมก็สิ้นสุดลงด้วย
ทหารจู่โจมแต่ละคนจึงกลับไปเข้าสังกัดเดิม
ก่อนที่จะแยกย้ายกลับไปต้นสังกัด
ผู้บังคับบัญชาหน่วยจู่โจมและนายทหาร
ได้จัดฉลองให้ มีการละเล่น การแข่งขัน
ผู้บังคับบัญชาบอกให้เราเข้าร่วมการแข่งขันสุดท้า
เพื่อเป็นที่ระลึกของชีวิตทหารจู่โจม
ทุกคนร่วมการแข่งขันอันสุดท้ายนี้
แต่ปรากฏว่าไม่มีใครชนะเลย
เพราะไม่มีใครสามารถเข้าถึงหลักชัยที่กำหนดไว้ได้สำเร็จ
เป็นการแข่งขันเดินขาเดียว
โดยผูกขาข้างหนึ่งไว้ข้างหลังและยึดไว้กับบ่า
แต่หลักชัยอยู่ไกลมาก
จึงไม่มีใครไปถึงหลักชัยได้แม้แต่คนเดียว
แต่ละคนเดินไปได้ไม่นานก็ล้ม ได้แต่มองหลักชัยและหัวเราะ
สันติแห่งชีวิต
ผู้บังคับบัญชาทหารหน่วยจู่โจมกล่าวปิดงานว่า
“สันติแห่งชีวิตไม่สามารถหาซื้อได้จากตลาด
แต่ต้องเกิดจากวิธีการดำเนินชีวิตของเรา
เพื่อนทหารที่รัก
ดังที่พวกท่านได้เห็นในการแข่งขันครั้งสุดท้ายในวันนี้
พวกท่านก็คงตระหนักว่า
การจะเดินและชนะการแข่งขันด้วยขาเดียว
ย่อมเป็นไปไม่ได้
ในทำนองเดียวกัน ในชีวิตเรา
เราไม่สามารถดำเนินชีวิตอย่างสันติ
ถ้าเราไม่ถือฤทธิ์กุศลเป็นหลักและเป็นพื้นฐานแห่งชีวิตครอบครัว
พวกเราส่วนใหญ่มีครอบครัว
มีชีวิตอยู่กับภรรยาและลูก
พี่น้องทหารที่รัก
ถ้าเราอยากดำเนินชีวิตมีสันติแท้จริงในครอบครัว
เราจะต้องดำเนินชีวิตบริสุทธิ์และชีวิตแห่งความรัก
ชีวิตที่บริสุทธิ์จะทำให้จิตใจของเรามีสันติ
จะช่วยให้เรารู้จักประหยัด
และหลีกเลี่ยงการใช้เงินอย่างสุรุ่ยสุร่าย
เหมือนกับคนที่ไม่ได้แต่งงาน
เราจะสามารถพิชิตหัวใจของคู่ชีวิตของเรา
ซึ่งจะเป็นแหล่งที่มาของความยินดีและสันติส่วนชีวิตแห่งความรักนั้น
จะช่วยเราให้อดทนทุกอย่าง
ที่เราไม่สามารถหลีกเหลี่ยงได้ด้วยจิตใจแจ่มใส
ความรักแท้จะรวมเราและคู่ชีวิตของเราให้เป็นหนึ่งเดียวกัน
ทำให้เราทั้งสองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
และร่วมชีวิตในความรักที่บริสุทธิ์
เราจะมีความสุข เพราะว่าที่ไหนมีความรักแท้และไม่เป็นบาป
ที่นั่นก็จะมีสันติที่แท้จริง
และครอบครัวน้อยๆของเราจะเป็นที่แห่งสันติ
พี่น้องทหารที่รัก
เราเคยดำเนินชีวิตทหารจู่โจมในแนวหน้า
แต่ต่อนี้ไปชีวิตของเราจะไม่มีนายทหารและพลทหารอีกแล้ว
จะมีก็แต่พวกเราซึ่งเป็นหนึ่งเดียวกันในความรักฉันพี่น้อง
พี่น้องทหารที่รัก จงจำคำพูดเหล่านี้
และช่วงเวลาที่เราดำเนินชีวิตด้วยกัน
ในแนวหน้าเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายไว้ให้ดี
เมื่อเราเข้าใกล้ความตายเราอยากจะเป็นคนดีขึ้น
เรารู้สึกเป็นพี่เป็นน้องกันจริงๆ
บัดนี้ ที่สงครามสิ้นสุดลงแล้ว
เราต่างก็รู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกันในความรัก
ไม่เร็วก็ช้าเราแต่ละคนจะกลับไปเป็นพลเรือน
ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนก็ตาม
เราก็จะอยู่ใกล้กับความตายซึ่งไม่เร็วก็ช้า
ก็จะนำเราออกจากโลกนี้ เข้าสู่ชีวิตนิรันดร
ณ ที่นั้น จะไม่มีความตายอีกต่อไป
ในชีวิตใหม่เราจะมีความสุขหรือความทุกข์
ขึ้นอยู่กับว่าเราดำเนินชีวิตปัจจุบันนี้อย่างไร
ขึ้นอยู่กับว่าเราดำเนินชีวิตบริสุทธิ์และเต็มด้วยความรักแค่ไหน
จึงขออวยพรให้เราทุกคนพบกับชีวิตแห่งความรัก
ขอบคุณสำหรับทุกอย่างและลาก่อน
จนกว่าจะไปพบกันในชีวิตที่ดีกว่า”
กลับจากแนวหน้า
ทหารจู่โจมต่างกลับไปยังต้นสังกัดเดิม
พ่อกลับไปที่เมืองเกรโมนา (Cremona)
ณ ที่ซึ่งพ่อได้เริ่มชีวิตทหาร
พ่อพบว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปไม่มีระเบียบ
ไม่มีวินัย ทหารบางคนแต่งเครื่องแบบ
บางคนแต่งชุดพลเรือน ออกจากค่ายทหารตลอดทั้งวัน
นานๆจึงจะเห็นนายทหารสักครั้งหนึ่ง
ไม่มีนายทหารคนใดสนใจทหารในบังคับบัญชา
หลายคนทิ้งทุกอย่างและกลับบ้าน
ซึ่งตามหลักแล้วจะต้องมีการปลดประจำการก่อน
แต่ก็ยังไม่มีคำสั่งจากรัฐมนตรีนานๆก็จะมีเจ้าหน้าที่กระทรวง
มาบอกให้ทุกคนรอคำสั่งปลดประจำการ แต่ก็ไร้ผล
เพราะทหารสังกัดรุ่นปี 1900 พากันพูดกันว่า
“เราไม่ใช่ทหารเป็นทางการ เพราะเรายังมีอายุไม่ถึง20 ปีด้วยซ้ำ”
แล้วก็ทำตามที่พอใจ
ในค่ายทหารจึงไม่มีระเบียบวินัยเลย นายทหารต่างก็เงียบ
พ่อถูกส่งไปให้ฝึกซ้อมพิเศษกับทหารอีก 8 คน
โดยที่ทราบไม่ทราบสาเหตุ
เพื่อนทหารที่ฝึกซ้อมด้วยกันไม่เคยฝึกซ้อมมาก่อน
จึงเหนื่อยง่าย ต่างรู้สึกทึ่งที่พ่อไม่เหนื่อย
และคล่องแคล่วว่องไวมากกว่าพวกเขา
จนต้องถามว่าพ่อรู้วิธีฝึกซ้อมนี้มาจากไหน
พ่อก็บอกพวกเขาว่า
พ่อเคยสังกัดกองจู่โจมซึ่งมีการฝึกซ้อมอย่างนี้ทุกวัน
ภายหลังพ่อจึงมารู้จุดประสงค์ของการฝึกซ้อม
กล่าวคือ เป็นการเตรียมเราเข้าฉากภาพยนตร์
ซึ่งจะมีสตรีหลายคนร่วมแสดงด้วย
พวกเธอก็กำลังซักซ้อมอยู่เหมือนกัน
พ่อได้ขออนุญาตไปเยี่ยมบิดามารดา
หลังจากนั้นพ่อก็ไม่ได้กลับไปสู่ชีวิตทหารอีกเลย