ชีวิตใหม่
ชีวิตที่ดำเนินอยู่ในแนวหน้า
ในฐานะกองทหารจู่โจมสอนพ่อให้ดำเนินชีวิตคริสตชนที่ลึกซึ้ง
ทำให้พ่อเข้าใจว่าเพื่อจะดำเนินชีวิตคริสตชนอย่างเต็มเปี่ยม
จะต้องรักความบริสุทธิ์ในตัวเองและเคารพความบริสุทธิ์ตัวผู้อื่น
ถ้าขาดความบริสุทธิ์ในร่างกายของเรา
จิตวิญญาณของเราก็จะไม่มีความรัก
ในทำนองเดียวกัน
เมื่อเราทำผิดต่อความบริสุทธิ์กับผู้อื่นเราและเขาก็หมดความรัก
ใครที่รักด้วยความรักจริงใจจะไม่ยอมทำบาป
ถ้าเรารักตนเองเราก็จะรักจิตวิญญาณของเราด้วย
เราจะไม่ยอมทำบาปในร่างกายและในวิญญาณของบุคคลอื่น
พ่อนำข้อคิดนี้จากแนวหน้ากลับมาบ้าน
ชีวิตทหารเป็นชีวิตที่ลำบากเพราะต้องอยู่ในหน่วยจู่โจม
ในแนวหน้าเกือบตลอดเวลา
แต่ในเวลาเดียวกันมันก็เป็นประโยชน์ไม่น้อย
สำหรับจิตวิญญาณและชีวิตคริสตชน
เมื่อกลับมาที่บ้านสิ่งแรกที่พ่อทำคือดำเนินชีวิตคริสตชนอย่างเข้มข้น
เพราะว่าที่แนวรบพ่อไม่เคยมีโอกาสที่จะร่วมพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณ
รับศีลอภัยบาปและศีลมหาสนิทเลย
เมื่อไม่มีมิสซา ศีลอภัยบาป และศีลมหาสนิท
เราก็ไม่อาจจะดำเนินชีวิตคริสตชนอย่างเต็มเปี่ยมได้
ทุกคนต้องตาย
ในแนวหน้าคำว่า “ตาย”
เป็นคำที่ใช้กันบ่อย จนแทบจะไม่มีความหมายเลย
เพราะเป็นคำที่คู่ไปกับการเป็นทหาร
บางคนพูดว่า “เรายังไม่ทันจะลิ้มรสชีวิต
ความตายก็มาอยู่ต่อหน้าเราแล้ว”
อีกบางคนก็พูดว่า “พวกเราคนแก่แต่ยังไม่อยากตาย
แต่ถูกเรียกมาที่นี่เพื่อตาย”
ส่วนบางคนก็พูดว่า
“การตายไม่ใช่เป็นเรื่องยากในแนวหน้า
แต่ยากจะรู้ว่ามีอะไรอยู่เบื้องหลังจากความตายบ้าง?”
ต่างคนต่างก็พูดตามที่คิด
แล้วนั้นก็มีเสียงพูดว่า
“พวกเราที่เป็นทหารอยู่ขณะนี้
ถือว่าเกิดมาโชคร้าย ต้องมาเจอสงครามและความตาย”
เมื่อกลับมาที่บ้านสมองของพ่อยังเต็มไปด้วยเรื่องสงคราม
บ่อยครั้งพ่อคิดว่าจะทำตัวอย่างไร
เพื่อปรับตัวเข้ากับชีวิตพลเรือน
แต่ก็เป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ
เพราะหลังจากนั้นไม่นานพ่อก็ถูกเรียกตัวกลับ
ไปเป็นทหารอีกครั้งหนึ่ง
กลับไปเป็นทหาร
สงครามเกิดขึ้นที่พรมแดนแขวงเตรนโต (Trento)
ถึงแม้สงครามทตรีเอสเต (Trieste) จะสิ้นสุดลงแล้ว
แต่ที่อัลบาเนีย (Albania) สงครามยังดำเนินอยู่
ทหารอิตาเลียนที่อยู่ในแนวหน้า
เสียชีวิตด้วยโรคมาเลเรียเหลือง ที่กลายพันธุ์จากโรคไทฟอยด์
ในสมัยนั้นไข้มาเลเรียและไทฟอยด์ เป็นโรคที่รักษาไม่หาย
ยิ่งไปกว่านั้น การที่นายพลกาเปลโล (Capello) กับนายทหาร
ได้สั่งให้ทหารถอยร่นแบบเสี่ยงตาย
ทำให้นายทหารเสียชีวิตไปหลายคน
ในเวลาเดียวกันมีการดูถูกดูแคลนนายทหารในสมัยนั้น
จึงทำให้จำนวนนายทหารไม่เพียงพอ
พ่อถูกเรียกให้เข้าประจำการแบบไม่รู้ตัว
จึงได้ออกเดินทางจากเมืองแชร์นุสโก (Cernusco) และแวะเมืองมิลาน (Milano)
เพื่อเยี่ยมเพื่อนตำรวจคนหนึ่งที่กำลังอบรมเป็นนายตำรวจ
เพื่อนชวนพ่อพักกับเขาพร้อมกับยืนยันว่าไม่น่าจะมีปัญหา
เพียงแค่ลงชื่อไว้ แม้ว่าพ่อจะไม่รีบเร่งเดินทางไปอัลบาเนีย (Albania)
แต่พ่อก็ไม่รับคำเสนอ
ด้วยกลัวว่าอาจจะต้องลงเอยด้วยการดำเนินชีวิต
ปล่อยตัวไปตามความสนุกสนาน
พ่อจึงลำเพื่อนไปทันที
เพราะกลัวว่าขืนชักช้าอยู่ที่นั่นพ่ออาจจะใจอ่อน
เพราะว่าข้อเสนอนั้นน่าสนใจมาก
สถานที่เกณฑ์ทหาร
ลัทธิโบลเชวิส (Bolscevism)
ที่มีกำเนิดในประเทศรัสเซียในปี 1917
ช่วงหลังสงครามโลกปี 1914-1918
ได้แผ่ขยายไปยังประเทศต่างๆของยุโรป
ซึ่งในประวัติศาสตร์ซึ่งมีการรวมตัวกันและแบ่งแยกกัน
เลยทำมีแนวโน้มจะรับแนวคิดของลัทธิโบลเชวิส
(Bolscevism)จากประเทศรัสเซีย
แต่เมื่อแพร่เข้ามาในประเทศอิตาลีได้เกิดปฏิกิริยาตอบโต้
ยังผลให้เกิดลัทธิฟาสซิส (Fascism) ขึ้นในภาครัฐบาล
ซึ่งต่อเนื่องไปจนถึงสงครามโลกครั้งที่ 2
ในช่วงเวลานั้นประชาชนพากันลุกฮือ
เข้ายึดโรงงานและที่ทำการรัฐบาล
เกิดมีความวุ่นวายและความยุ่งยาก
เกินกว่าที่ทางการตำรวจจะจัดการได้
จึงได้ขอกำลังจากทหารมาเป็นหน่วย
“ตำรวจรักษาความเรียบร้อย”
สถานการณ์นี้ทำให้พวกเราที่เป็นทหาร
กลายเป็นตำรวจดูแลความเรียบร้อยของบ้านเมือง
และทุกวันเราต้องไปดูแลตามสถานที่ต่างๆ
เพื่อให้ทุกอย่างอยู่ในความสงบและป้องกัน
ไม่ให้คนก่อความเสียหายแก่สถานที่และบุคคล
วันอาทิตย์วันหนึ่งนายกเทศมนตรี
แจ้งให้เราทราบว่า มีประชาชนกลุ่มใหญ่
ก่อความไม่สงบและประกาศว่าพวกเขาจะยึด
ที่ทำการเทศบาลภายในเวลา 3 ชั่วโมง
พวกเราทหารและนายทหารภายใต้การบังคับบัญชา
ของนายยกเทศมนตรีได้สกัดกั้นถนนทุกสาย
ที่นำไปถึงที่ทำการเทศบาล
กองพันที่พ่อสังกัดอยู่
มีหน้าที่เฝ้าถนนสายหลักที่เสี่ยงมากกว่าหมด
นายกเทศมนตรีมาอยู่ในแนวหน้ากับเรา
ในขณะที่ประชาชนทุกเพศทุกวัยกำลังเดินมาทางเรา
พร้อมกับตะโกนร้องอย่างดุเดือด
นายกเทศมนตรีสั่งให้ทหารที่อยู่แถวหน้าใส่ดาบที่ปลายปืน
และให้เล็งปืนในระดับ 1 เมตรสูงจากพื้นดิน
ไปยังประชาชนที่ทำท่าจะเข้ามา
พวกเราต่างยืนนิ่งและใช้มีดปลายปืนกันไม่ให้ประชาชนผ่าน
ประชาชนที่กำลังบุกเข้ามาพร้อมกับตะโกน
ร้องหยุดนิ่งอยู่ห่างจากเราไป 4 เมตร
เผชิญหน้ากับดาบปลายปืนที่ตั้งเรียงห่างกัน
ประมาณ 40 เซนติเมตร ทหารที่ถือปืนยืนชิดกัน
แทบจะไม่มีที่ว่างให้คนผ่านได้
ข้างหน้าแถวประชาชนมีเด็กสาวหน้าตาดี
ยืนเรียงกันเป็นสองแถว
และร้องตะโกนให้ทหารเปิดทางให้พวกเขาผ่าน
แต่เมื่อเห็นว่าทหารไม่ยอมพวกเขาก็ปรึกษาหารือกัน
และหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะเป็นผู้นำ
ได้ตะโกนบอกเพื่อนๆว่า “ตามฉันมา”
แล้วพวกเขาก็เดินตรงมาอย่างรวดเร็ว
โดยเชื่อว่าทหารจะเปิดทางให้ผ่าน
แต่เมื่อเห็นว่าทหารยังยืนนิ่งอยู่
พวกเขาก็พยายามที่จะหยุดแต่ทำไม่ได้
ทำให้พวกที่อยู่แถวหน้านั้น
ถูกดาบปลายปืนของทหารแทงเข้าที่ท้อง
คนที่ได้รับบาดเจ็บหันไปหาเพื่อนและตะโกนว่า
“ฉันบาดเจ็บ”
แล้วก็ร้องไห้ขณะที่ล้มลงบนพื้นร่างโชกไปด้วยเลือด
นายกเทศมนตรีเห็นเช่นนั้นก็ร้องตะโกนว่า
“ถอยไป”
ประชาชนชูกำปั้นทำท่าข่มขู่พร้อมกับตะโกนว่า
“ไอ้พวกปลาฉลาม ตายเสียเถอะ
ไอ้ผู้ร้ายฆ่าคน แทงได้แม้กระทั่งผู้หญิง”
แล้วก็ถอยร่นไป
วันที่เลวร้าย
สถานการณ์ในช่วงนั้นค่อนข้างจะยุ่งเหยิง
ประชาชนพากันเกลียดชังตำรวจ
และเมื่อเห็นว่าทหารมากลายเป็นตำรวจก็เกลียดทหารไปด้วย
เมื่อสบโอกาสพวกเขาจะคว้างปาก้อนหิน
ใส่ทหารที่ออกจากค่ายเพื่อพักผ่อนในช่วง 2 ชั่วโมงที่ว่าง
มีการข่มขู่และด่าแช่งจนทหารไม่อยากออกนอกค่าย
เพื่อนทหารหลายคนที่ออกนอกค่าย
ต้องวิ่งหนีกลับมาเพราะโดนก้อนหินขว้างใส่จนหัวแตก
พอโกรธพวกทหารก็ด่าแช่งลัทธิโบลเชวิส (Bolscevism)
และชีวิตทหาร พ่อบอกเพื่อนๆว่า
ในสถานการณ์เช่นนี้เราคงต้องเป็นทหารที่ดี
เพราะเราไม่สามารถออกไปเที่ยวชมหญิงสาวหน้าตาดีได้
พวกเขาเองก็ไม่อยากเห็นพวกเราเหมือนกัน
ประชาชนได้รับผลกระทบจากความคิดจากรัสเซีย
และไม่ยอมอยู่อย่างสงบ ทหารและตำรวจ
จึงถูกสั่งให้ไปดูแลความสงบสุขของประชาชน
พวกเขาต้องออกจากค่ายทหารทุกวัน
ในช่วงนั้นมีเสียงลือว่าคลังแสงที่อยู่ชายเมืองเกิดระเบิดขึ้น
คลังแสงดังกล่าวมีลูกระเบิดชนิดต่างๆและปืนใหญ่เก็บรักษาอยู่
จึงต้องมีทหารเฝ้ายามทั้งกลางวันและกลางคืน
นายทหารที่เข้าเวรกลางคืนแต่ละคนจะต้องเดินตรวจคลังแสงทุก 4 ชั่วโมง
ในช่วงกลางวันก็เช่นกัน
เมื่อตรวจตราเสร็จแล้วก็ต้องเขียนบันทึกไว้ทุก 4 ชั่วโมง
พ่อเข้าเวรเฝ้าคลังแสงตอนกลางคืน
แต่ไม่มีนายทหารที่มาเขียนบันทึกการตรวจตราอย่างที่ทำกัน
เขาได้ขอให้พ่อเขียนบันทึกแทนทั้งกลางวันและกลางคืน
โดยอ้างว่าเขามีเพื่อนสาวและไม่กล้าที่จะเดินไปมาในเวลากลางคืน
เมื่อบอกพ่อแล้วเขาก็ยืนก้มหน้ารอคำตอบ
พ่อบอกเขาว่า “สบายใจได้ ผมจะไม่ทำร้ายคุณ”
หลังจากนั้นพ่อก็มาคิดว่ามันคงจริงอย่างที่มีการพูดไว้ว่า
“เส้นผมเส้นเดียวของผู้หญิงมีพลังมากกว่าควาย 2 ตัวในใจของชายหนุ่ม”
ดังนั้นเราจึงต้องยึดคำที่พระเยซูเจ้าพูดไว้ในพระวรสารว่า
“จงภาวนาอย่างไม่หยุดหย่อน ถ้าไม่ทำการใช้โทษบาปพวกท่านจะไม่รอด”
ไม่แน่นอนและมองไม่เห็น
ในสมัยนั้นอุดมการณ์คอมมิวนิสต์รัสเซีย
กำลังแผ่ขยายไปเหมือนน้ำท่วมทุกแห่ง
คนพากันมองว่าทหารและตำรวจเป็นคนไม่ดีและไม่น่าเชื่อถือ
บ่อยครั้งพวกเขาถูกมองว่าเป็นศัตรูของประชาชนและเป็นมิตรของคนร่ำรวย
คนจึงพากันขนานนามพวกเขาว่า “ปลาฉลามร้าย”
พวกทหารไม่สามารถป้องกันตัวเองได้เลย
เพราะพวกเขาต้องทำตามคำสั่ง และทำให้ทุกคนเคารพในคำสั่ง
ซึ่งประชาชนในสมัยนั้นไม่เห็นด้วย
พ่อต้องออกจากค่ายทุกวันเพื่อจะไปเข้าเวรที่คลังแสง
พ่อจึงได้มีโอกาสเห็นคนกลุ่มหนึ่งออกมาจากสถานที่หนึ่ง
ที่ประตูแง้มอยู่ด้วยท่าทางศรัทธามาก
พ่อจึงจำสถานที่ไว้และวันรุ่งขึ้นเมื่อออกเวรแล้วพ่อก็ไปเยี่ยมสถานที่นั้น
พบว่าเป็นวัดคาทอลิกเล็กๆวัดหนึ่ง
พ่อเข้าไปและคุกเข่าสวดภาวนาตามลำพัง
แต่แล้วไม่กี่นาทีต่อมา มีชายหญิงจำนวนหนึ่งมาล้อมรอบพ่อ
และถามพ่อด้วยคำถามมากมาย
พ่อบอกพวกเขาว่าพ่อเป็นแค่ชายหนุ่ม
สังกัดอยู่ในกลุ่มกิจกรรมคาทอลิกและเวลานี้ต้องมาเป็นทหาร
ที่มาที่นี่เพราะอยากจะสวดภาวนา
ในวัดคาทอลิกเพราะในค่ายทหารไม่มีวัด
เพื่อสวดภาวนาและร่วมพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณ
พวกเขาถามพ่อว่าพ่อรักชีวิตทหารหรืออยากจะกลับบ้าน
พ่อก็ตอบว่า พ่อไม่ได้ชอบชีวิตทหารแต่ก็ไม่สามารถกลับบ้านได้ตามใจชอบ
พวกเขาพูดคุยกันเองเสียงเบาๆ
แล้วนั้นก็มีคนหนึ่งซึ่งดูเหมือนเป็นหัวหน้าพูดว่า
“คุณสามารถมาสวดในวัดได้ตามที่คุณต้องการ
แต่ต้องเคารพสถานที่และบุคคล”
คำสั่งให้ไปทารันโต (Taranto)
ชีวิตทหารแม้จะไม่สนุกสนาน
แต่ก็ต้องดำเนินไปตามสถานการณ์
มีวันที่ต้องเข้าเวร มีวันจะต้องอยู่ในค่ายทหาร
มีวันที่จะต้องปะทะฝูงชนที่เป็นเดือดเป็นแค้น
ด่าแช่ง ดูเลวร้าย อดอยาก หิวกระหาย สกปรก
จึงไม่ต้องแปลกใจที่มีทหารบางคนถอดเครื่องแบบและหนีทหาร
ในสภาพเช่นนี้ พ่อก็ได้รับคำสั่งให้เดินทางไปรบที่อัลบาเนีย (Albania)
เพราะที่นั่นการเจรจาสงบศึกล้มเหลว
เราได้รับคำสั่งให้ออกเดินทางและแวะที่ค่ายทหารที่ตั้งอยู่ที่อ่าวตารันโต (Taranto)
ที่ค่ายมีทหารที่จะต้องไปสู้รบที่เมืองอัลบาเนีย (Albania)
พ่ออยู่ที่ค่ายทหารนั้นหลายวัน
รอให้มีทหารและนายทหารมาเสริมในกองร้อย (ประมาณ 400 คน)
ซึ่งจะออกเดินทางไปแนวหน้าที่อัลบาเนีย (Albania)
ในช่วงนั้นที่อ่าวตารานโต (Taranto) อากาศร้อนระอุเหมือนเตาไฟ
เพราะรอบๆอ่าวรายล้อมด้วยหินไม่มีต้นไม้ ใบหญ้า
น้ำดื่มและน้ำใช้ในครัวต้องถูกลำเลียงมาจากสถานที่อื่น
เพราะเหตุนี้ชาวบ้านจึงอาศัยอยู่นอกอ่าว
ค่ายทหารตั้งอยู่ที่หน้าผาของอ่าวในสถานที่แห้งแล้งและเต็มด้วยทราย
พูดสั้นๆก็คือ เป็นสถานที่เหมาะสมมากสำหรับการรำพึงภาวนา
ในช่วงวันเหล่านั้นเกิดพายุในทะเลทำให้น้ำสูงกว่าปกติ 3 เมตร
พายุพัดอยู่หนึ่งวันและหนึ่งคืน
ในตอนเช้าพ่อมักจะออกจากค่ายทหาร
และไปนั่งอยู่บนก้อนหินที่อยู่ริมฝั่งอ่าว
ใช้เวลาเพื่อรำพึงและภาวนา
เช้าวันต่อมาพ่อมีข้อคิดสำหรับการรำพึงอีกข้อหนึ่ง
เมื่อน้ำในทะเลไหลกลับมาอยู่ในระดับปกติ
มีปลาโลมาฝูงใหญ่ที่ว่ายเวียนอยู่ในบริเวณอ่าว
ชูหัวสลอนเต็มผิวน้ำหายใจแล้วก็ดำลงไปในน้ำใหม่
เห็นแล้วพ่อก็คิดว่า
ขณะนี้มีปลาโลมาและปลาฉลามจากนรก
ที่กำลังบุกรุกโลกและหาทางทำร้ายวิญญาณของผู้คน
ยิ่งไปกว่านั้นโลมาและปลาฉลามสีแดงจากรัสเซีย
ได้รุกรานเข้ามาในประเทศอิตาลี
และกำลังเข่นฆ่าจิตวิญญาณของผู้คน