สถานที่พ่อเกิด
พ่อเกิดในปี 1900 ระหว่าง 10 วันแรกของเดือนกรกฎาคม
ที่เมืองแชร์นุสโก ซูล นาวีลีโอ (Cernusco sul naviglio)
ในวันที่พ่อเกิดเป็นวันที่กษัตริย์ของประเทศอิตาลีถูกลอบปลงพระชนม์
ที่เมืองมอนซา (Monza) ผู้ปลงพระชนม์เป็นสมาชิกของลัทธิฟีเมซอล
(ลัทธิที่ต่อต้านพระเจ้าและพระศาสนจักร)
ซึ่งได้นำช่อดอกไม้ที่มีมีดซ่อนอยู่และแทงตรงดวงพระทัยของกษัตริย์
ซึ่งสิ้นพระชนม์ในเวลาสั้นๆ
ครอบครัวที่พ่อเกิด
บิดาของพ่อมีพี่น้อง 3 คน ซึ่งแต่งงานแล้ว
แต่พ่อมารู้จักคุณแม่ว่าพวกเขาไม่ค่อยเข้ากันดีนัก
คุณพ่อเป็นน้องชายคนเล็กและเป็นพ่อของลูก 7 คน
ลูกคนแรกเสียชีวิตตั้งแต่เกิด
แล้วนั้นก็ตามด้วยลูกสาว 2 คน และลูกชาย 3 คน
พ่อเป็นพี่คนโตของพวกลูกชาย
ความขัดแย้งกันลงเอยด้วยการแบ่งแยกพี่น้อง 3 ครอบครัวและลูก ๆ
วันอาทิตย์
ชาวเมืองแชร์นุสโก(Cernusco)
ในสมัยนั้นมีความเลื่อมใสศรัทธามาก
ทั้งคนรวยและคนจนต่างก็ไปวัด
วันอาทิตย์ วัดแห่งเมืองแชร์นุสโก (Cernusco)
แม้จะใหญ่แต่ก็ไม่สามารถบรรจุคนได้หมด
สัตบุรุษมาเพื่อร่วมมิสซาบูชาขอบพระคุณเวลา 9.00 น.
ประตู 3 ประตูที่ด้านหน้าของวัดจะเปิดเสมอในวันอาทิตย์
และครึ่งหนึ่งของสนามหน้าวัดมีเยาวชนและบุรุษ
ที่ยืนร่วมพิธีบูชามิสซาขอบพระคุณ
เด็กเล็กและเด็กโตจะร่วมพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณในวันอาทิตย์
ในสถานที่ต่างหากที่ตั้งอยู่บนชั้นสองของวัด
คุณพ่อเจ้าอาวาสพร้อมกับพระสงฆ์ 4 องค์ให้การดูแลวิญญาณสัตบุรุษ
ทุกวันระหว่างสัปดาห์มีพระสงฆ์ 2 องค์
ประจำอยู่ในที่ฟังแก้บาปเพื่อฟังแก้บาป
สัตบุรุษซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสตรีและเด็กหญิง
ตั้งแต่เวลา 5.30 น. ส่วนวันเสาร์และวันอาทิตย์
เป็นเวรแก้บาปของบุรุษและเด็กชาย
สำหรับเด็กเล็กๆ ก็จะมีอีกวันหนึ่งสำหรับแก้บาปโดยเฉพาะ
วันอาทิตย์หลังอาหารเที่ยง
ในวัดแห่งเมืองแชร์นุสโก (Cernusco) นั้น
วันอาทิตย์หลังอาหารเที่ยง จะใช้เวลาเพื่ออธิบายคำสอน
ให้แก่ผู้ใหญ่บุรุษ เยาวชน สตรี และเด็กหญิง
สำหรับเด็กชายและเด็กหญิงเล็กๆจะมีที่เรียนสองแห่ง
แห่งหนึ่งจะมีซิสเตอร์คณะMarcellinaสอนเด็กหญิง
และอีกแห่งหนึ่งมีคุณพ่อองค์หนึ่งสอนเด็กชาย
ดังนั้นทั้งเด็กชายและเด็กหญิงก็เรียนคำสอน
ตามกลุ่มของตนในสถานที่จัดไว้
หลังอาหารเที่ยงก็จะมีการขึงผ้าสูงสองเมตร
แขวนติดกับมุขหน้าของวัด เพื่อแบ่งหน้ามุขออกเป็นสองส่วน
ส่วนหนึ่งสงวนไว้สำหรับบุรุษและเยาวชนชาย
อีกส่วนหนึ่งสำหรับสตรีและเยาวชนหญิง
ในแต่ละส่วนมีการตั้งโต๊ะและเก้าอี้หกชุด
เพื่อให้พ่อบ้านหกคนและแม่บ้านหกคน
ที่ได้รับการเลือกจากคุณพ่อเจ้าอาวาส เพื่ออธิบายคำสอน
โดยแต่ละคนอธิบายตามเนื้อหาของตน
สตรีและเด็กหญิงเข้าวัดและแบ่งออกเป็นกลุ่ม
เพื่อเรียนคำสอนจากแม่บ้านคนหนึ่ง
ในเวลาเดียวกันพ่อบ้านที่ได้รับเลือกจากคุณพ่อเจ้าอาวาส
ก็จะทำเช่นเดียวกัน การเรียนคำสอนที่พ่อบ้านและแม่บ้านเป็นผู้สอนนั้น
ใช้เวลาครึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นคุณพ่อเจ้าอาวาสก็ขึ้นธรรมาสน์
และสอนคำสอนอีกครึ่งชั่วโมง
แล้วก็ตามด้วยเพลงเร้าวิงวอนแม่พระ
กลุ่มสำหรับเด็กเล็กสองกลุ่มก็ทำเช่นเดียวกัน
ส่วนเยาวชนชายและหญิงที่สังกัดกิจการคาทอลิก
ภายใต้การดูแลของพระสงฆ์ที่รับผิดชอบศูนย์เยาวชน
ก็ช่วยอธิบายคำสอนให้แก่เด็กเล็กทั้งชายและหญิง
ซึ่งมาเล่นที่ศูนย์เยาวชน หลังจากนั้นก็มีการอวยพรจากพระสงฆ์
วันฉลองใหญ่ประจำปี
วันฉลองใหญ่ที่งดงามที่สุดสำหรับชาวเมืองแชร์นุสโก (Cernusco)
คือวันสมโภชแม่พระได้รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์
ซึ่งเป็นองค์อุปถัมภ์ของวัด
ระฆังใหญ่หกใบของหอระฆังประกาศ
และเตือนให้เราเตรียมการฉลองเป็นเวลาแปดวันล่วงหน้า
และจะมีการย่ำระฆังทุกวันจนกระทั่งถึงวันสมโภช
นอกนั้นก็ยังมีการตบแต่งถนนและบ้านต่างๆของเมืองแชร์นุสโก (Cernusco)
ด้วยริ้วผ้าแห่งวันฉลอง สิ่งที่งดงามไปกว่านั้นก็คือ
การที่เห็นสัตบุรุษเตรียมการสมโภชด้วยการรับศีลอภัยบาปและศีลมหาสนิท
ต่างก็ยืนต่อแถวเป็นแถวยาวเพื่อรอแก้บาป
ส่วนบทเพลงนั้นจะมีการซ้อมขับกันเป็นเวลาหนึ่งเดือนล่วงหน้า
แสงของหอยทาก
ตอนเย็นของวันสมโภชชาวเมืองแชร์นุสโก (Cernusco)
เดินสวดแห่สวดสายประคำอย่างเป็นระเบียบ และเป็นครอบครัว
เดินผ่านเพื่อชมแสงจากหอยทากที่จุดเป็นประกาย
ตลอดระยะทางประมาณเกือบสองร้อยเมตร
ไฟหอยทากจบลงที่รูปแม่พระผู้ได้รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์
ซึ่งมีแสงเจิดจ้าจากไฟหอยทากทำให้งดงามยิ่งขึ้น
ไฟหอยทากนี้ทำมาจากหอยทากตัวใหญ่ขนาดเท่ากำมือเด็กเป็นจำนวนพันๆ
ถูกนำมาต้มแล้วแกะเปลือกออก
หลังจากนั้นก็เอาเปลือกหอยทากมาทำความสะอาดให้ดี
และใส่น้ำมันเข้าไปพร้อมกับไส้ที่เตรียมไว้สำหรับจุดในงานนี้โดยเฉพาะ
แล้วนำมาวางเรียงไว้บนแผ่นไม้ที่ตั้งสูงจากพื้นสองเมตร
โดยเรียงไฟหอยทากห่างกันตัวละสี่สิบเซนติเมตร
จากนั้นก็จุดไฟกลายเป็นไฟที่เรียกกันว่าไฟหอยทาก
การเตรียมตัวเพื่อวันอวสานโลก
คุณแม่มักจะพูดถึงวันอวสานของโลก
และเครื่องหมายที่ชี้บอกเป็นการล่วงหน้าบ่อยๆ
คุณแม่บอกว่าแค่เห็นเครื่องหมายชี้บอกแรก
คนก็จะรีบไปแก้บาปแล้ว
ผู้คนจึงมักจะยืนรอเป็นแถวเพื่อแก้บาปเหมือนวันฉลองใหญ่ ๆ
ถือกันว่าคนที่สามารถแก้บาปได้ก่อนอวสานโลกคือผู้ที่โชคดี
พ่อมักจะพูดกับคุณแม่ว่า
"เด็กจะแก้บาปบ้างไม่ได้หรือ"
คุณแม่บอกว่า
"คงไม่ได้ เพราะพระสงฆ์ต้องฟังแก้บาปผู้ใหญ่
ถ้าเด็กๆพยายามจะเข้าแถวเพื่อแก้บาป
ผู้ใหญ่จะไล่พวกเขาออกจากแถวทันที”
พ่อจึงถามแม่ว่า
"ถ้าอย่างนั้นพวกเราเด็กๆต้องอย่างไร"
คุณแม่ก็บอกว่า
"วิธีดีที่สุดก็คืออย่าทำบาป เพราะไม่ว่าบาปหนักหรือบาปเบา
ก็ต้องเป็นทุกข์ถึงบาปและสารภาพ พร้อมกับสัญญาว่าจะไม่ทำบาปอีกเลย
ดังนั้นอย่าขโมยน้ำตาลของแม่ อย่าหนีเรียนอ้างว่าปวดหัว
อย่าขโมยไข่ไก่ของแม่ ตั้งใจสวดภาวนาเช้าค่ำ
แก้บาปบ่อยๆ อย่าแก้ตัวว่าไม่มีบาป
อย่าขโมยรังนกที่มีลูกอ่อนอยู่ข้างใน เพราะว่าจะทำให้พ่อนกแม่นกเสียใจ..."
อยากเป็นสงฆ์
พ่อมักจะคิดว่าสัตบุรุษทุกคน ทั้งเล็กและใหญ่ ต่างก็มั่นไปแก้บาปกันบ่อยๆ
แต่ไม่เคยเห็นพระสงฆ์แก้บาป พระสงฆ์จึงเป็นคนดีและไม่ทำบาป
พ่อจึงพูดกับคุณแม่ว่า
"พวกเราทุกคน ทั้งเล็กและใหญ่ต้องแก้บาปเพราะทำบาป
ลูกจึงอยากจะเป็นพระสงฆ์บ้าง จะได้ไม่ทำบาปอีกต่อไป"
คุณแม่จ้องหน้าพ่อเงียบๆ
แล้วก็บอกพ่อว่าพระสงฆ์ก็ต้องแก้บาปเหมือนกัน แต่จะแก้กับพระสงฆ์ด้วยกัน
ความสงสัย
ในวันอาทิตย์ เวลาบ่ายสองโมงถึงสี่โมงมีการจัดกิจกรรมที่ศูนย์เยาวชน
เด็กๆ อายุตั้งแต่สิบขวบไปถึงสิบห้าปีจะไปรวมตัวกันที่ศูนย์เยาวชน
ที่นั่นมีคุณพ่อผู้รับผิดชอบศูนย์เยาวชนและเยาวชนที่มีหน้าที่สอนคำสอน
และจัดการละเล่นรอพวกเขาอยู่
จะมีการแบ่งเด็กออกมาเป็นกลุ่มๆละยี่สิบคนตามอายุ
เพื่อไปเรียนคำสอนที่มีเยาวชนเป็นผู้สอน
ในตอนสุดท้ายคุณพ่อผู้รับผิดชอบศูนย์เยาวชน
ก็จะอธิบายคำสอนและอวยพรแม่พระให้ทุกคน
ในขณะที่เด็กๆ กำลังเล่นเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงก่อนจะมีการสอนคำสอน
พ่อจะชอบไปคุยกับพระสงฆ์เพื่อขอคำอธิบายว่า
ทำไมพระเจ้าองค์เดียวจึงมีสามพระบุคคลในเวลาเดียวกัน
คุณพ่อก็อธิบายให้ แต่ยิ่งอธิบายพระธรรมล้ำลึกแห่งพระตรีเอกภาพพ่อก็ยิ่งไม่เข้าใจ
กระนั้นก็ดี พ่อก็ไม่เลิกละที่จะถามเรื่องเดียวกันนี้ทุกครั้งที่ไปที่ศูนย์เยาวชน
ดังนั้น แทนที่จะไปเล่นกับเด็กอื่นๆ
พ่อก็จะถามคุณพ่อที่ดูแลพวกเราเกี่ยวกับพระเจ้าและพระธรรมล้ำลึกของพระองค์
คุณพ่อก็อธิบายซ้ำให้ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เมื่อเห็นพ่อยังไม่เข้าใจ
คุณพ่อก็ยื่นมือขวามาวางบนหัวของพ่อและพูดว่า
"เธอช่างเป็นคนขี้สงสัยจังเลย พระเจ้านั้นเราเข้าใจไม่ได้
จงไปเล่าเรียนและบวชเป็นพระสงฆ์ แล้วเธอก็จะเข้าใจว่า
เราไม่สามารถเข้าใจพระเจ้าได้เลย"
สงครามในลิเบีย 1911-1912
มีการติดประกาศว่าเกิดสงครามในลิเบีย
ผู้คนต่างก็พูดคุยกันในสิ่งที่เกิดขึ้นในสงคราม
มีแผ่นป้ายใหญ่ที่มีรูปของทหารอิตาเลียนถือปืนปลายดาบ
ที่กำลังทำสงครามกับสัตว์ดุร้ายต่างๆที่คละปนอยู่กับทหารตุรกี
นักเรียนส่วนใหญ่หมกมุ่นอยู่กับการเตรียมตัวทำสงคราม
พวกเขาทำปืนทำดาบทำปืนใหญ่ด้วยกระดาษ แต่งตัวชุดทหาร
ชุดนายทหาร ชุดผู้บังคับบัญชา
รองผู้บังคับบัญชา ในชุดที่ทำด้วยกระดาษหลากสี
และพวกเขาก็มาจับกลุ่มกันที่ลานวัด ชูปืนกระดาษ
ร้องตะโกนว่า ชัยชนะ ชัยชนะ...
สิ่งเดียวกันที่พ่อเห็นเมื่อหกสิบปีก่อนกำลังเกิดขึ้นกับนักเรียนไทยในวันนี้
หลังจากดูโทรทัศน์พวกเขามาโรงเรียนเป็นกลุ่ม
ทำท่าทำทาง และร้องตะโกน เลียนแบบสิ่งที่พวกเขาได้เห็นในโทรทัศน์
ครอบครัวหนึ่งที่สูญหายไป
ญาติคนหนึ่งของตระกูลเดลลา โตร์เร
เป็นคนมีฐานะดีและเป็นผู้จัดการของโรงงานทอผ้าไหม
ซึ่งมีคนงานทั้งสตรีและเด็กหญิงจำนวนพันที่ทำงานอยู่
เขาอยู่กับภรรยา ลูกชายสองคนและลูกสาวหนึ่งคน
เขาเป็นคนดีและเป็นที่เคารพนับถือของชาวเมืองแชร์นุสโก (Cernusco)
แต่เขาโชคร้ายเพราะลูกชายสองคนที่เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยจังหวัดมีลาน (Milano)
ล้มป่วยด้วยวัณโรค
ความพยายามที่ไร้ผล
ในสมัยนั้นวัณโรคเป็นโรคที่รักษาไม่ได้ เหมือนโรคมะเร็งในสมัยนี้
ลูกชายทั้งสองของเขาเสียชีวิตในเวลาต่อมา
เป็นช่วงเวลาเดียวกันที่พ่อติดต่อเข้าบ้านเณรในจังหวัดมีลาน (Milano)
ผ่านทางคุณพ่อเจ้าวัด แต่เข้าไม่ได้เพราะบ้านเณรไม่มีที่
คุณพ่อเจ้าวัดสนิทกับครอบครัวนั้นมากเพราะบ้านพวกเขาอยู่ใกล้วัด
คุณพ่อเจ้ามักจะแวะไปเยี่ยมครอบครัวในช่วงเวลาเย็น
เมื่อพวกเขารู้ว่าพ่ออยากจะเข้าบ้านเณรที่จังหวัดมีลาน (Milano)
ก็พากันให้ความเห็นว่าการศึกษากระแสเรียกได้อย่างแท้จริงนั้น
จำต้องมีนักเทวศาสตร์มือหนึ่งมาช่วย
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาคุณพ่อเจ้าวัดก็เปลี่ยนท่าที
และไม่ได้สนใจกับเรื่องที่พ่อจะเข้าบ้านเณรอีกเลย
โรงเรียนทางไปรษณีย์
ที่เมืองแชร์นุสโก (Cernusco) โรงเรียนมีแค่ระดับประถมเท่านั้น
ดังนั้นเพื่อจะเรียนสูงขึ้นไปเด็กต้องเข้าไปเรียนในเมืองมีลาน (Milano)
หรือไม่ก็สมัครเรียนทางไปรษณีย์ อย่างไรก็ตาม
การสอบไล่ครั้งสุดท้ายต้องสอบที่โรงเรียน
ที่สมัครเรียนในเมืองมีลาน (Milano)
ตามที่กฎข้อบังคับของกระทรวงศึกษาธิการ
ระบบการเรียนแบบนี้เอื้อให้หลายคนมีโอกาสเรียน
และได้วุฒิบัตรด้านการศึกษาระดับสูง ๆได้
กระนั้นก็ดี ระบบการขนส่งของประเทศอิตาลีในสมัยนั้นยังไม่ดีนัก
แม้แต่ในคลองนาวีลีโอ (Naviglio)
ก็ยังพลุกพล่านด้วยเรือสินค้าใหญ่ที่แล่นผ่านไปมา
เมื่อมีกระแสน้ำไหลมาจากทางเหนือ
เรือสินค้าจะโยงเข้าด้วยกันเป็นสิบลำเพื่อแล่นลงใต้
ส่วนขบวนเรือที่แล่นมาจากเมืองมีลาน (Milano)
มุ่งไปทางเหนือก็จะต้องมีม้าแข็งแรงห้าเดินลากลากขบวนเรือสินค้า
ไปตามริมคลองด้วยความเร็วเท่าคนเดิน