ออกเดินทางสู่อัลบาเนีย (Albania)
ในการเดินทางสู่อัลบาเนีย (Albania)
เราต้องพบความยากลำบากมากกว่าที่คิดไว้
อุดมการณ์คอมมิวนิสต์ก่อให้เกิดความวุ่นวายไปทั่ว
เที่ยวยุแหย่ให้ประชาชนรวมตัวกัน
เพื่อกีดกันไม่ให้ทหารลงเรือไปทำสงครามที่อัลบาเนีย (Albania)
ทหารและนายทหารที่หวาดหวั่น
กับการต้องตายในสงคราม
พากันหนีเข้าไปปะปนกับหน่วยทหารอื่น
ทหารอีกหลายคนหายตัวไป
ด้วยความช่วยเหลือจากประชาชนที่ฝักใฝ่ลัทธิคอมมิวนิสต์
นอกนั้นมีนายทหารหลายคนขอตรวจสุขภาพและแพทย
ก็เป็นใจรายงานว่าไม่เหมาะจะเดินทางไปอัลบาเนีย (Albania)
พ่อไม่รู้ว่าจะทำอะไรจึงได้แต่สวดวอนขอ
สิ่งที่พระญาณเอื้ออาทรจะจัดให้
เพราะทุกสิ่งดูมืดมนไปหมด
พ่อบอกตัวเองว่าถ้าจะต้องไปตายที่อัลบาเนีย (Albania)
ก็ขอให้เป็นไปตามพระประสงค์
พ่อจึงไม่คิดจะหนีเหมือนคนอื่น
และเสี่ยงกับการดำเนินชีวิตและตายร้าย
พ่อต้องอยู่ในสภาพนี้อยู่หลายวัน
ที่สุดวันเดินทางก็มาถึง เป็นการเดินทางที่ออกจะสับสน
ช่องแคบอ่าวTarantoมีความยาวประมาณ 100 เมตร
และมีความกว้างพอที่จะให้เรือผ่านได้
สองชายฝั่งมีประชาชนทุกเพศทุกวัยอาศัยอยู่หนาแน่น
ทางฝั่งซ้ายมือมีสนามยาวประมาณ 40 เมตร
ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ทหารและพลเรือนอยู่เต็มไปหมด
ทุกคนเฝ้าสังเกตเรือที่เต็มไปด้วยทหาร
ผ่านช่องแคบไปอย่างช้าๆมุ่งสู่ทะเลกว้าง
ประชาชนที่อยู่บนฝั่งขวาพากันตะโกนบอกทหารที่อยู่ในเรือว่า
“กระโดดลงทะเลและหนีไปเสีย
อย่าไปเชื่อผู้ใหญ่บ้านเมืองที่มีความคิดซ้ายจัด
พวกเขาเป็นเหมือนฉลามร้ายที่ส่งพวกคุณไปฆ่าและไปตาย”
นายทหารยกมือทำสัญญานออกเรือ
ทหารและนายทหารที่อยู่บนเรือมองไปที่ฝั่งขวาทีและฝั่งซ้ายที
แล้วก็มองไปทางทะเลด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
เมื่อเห็นนายทหารยกมือทำสัญญาณให้เรื่อออก
พ่อก็หวนคิดถึงจักรพรรดิโรมัน
ที่ยกมือไปทางพวกนักดาบในสนามกีฬาเริ่มประหัตประหารกัน
จะต่างกันก็ตรงที่ไม่มีใครในเรือที่แสดงความเคารพ
และร้องตะโกนเหมือนนักดาบว่า
“ขอเดชะ ผู้ที่กำลังจะตายขอคารวะท่าน”
ในที่สุด เรือก็แล่นผ่านช่องออกสู่ทะเลลึก
การมาถึงอัลบาเนีย (Albania)
เรือแล่นตัดคลื่นของทะเลด้วยความเร็วปานกลาง
และได้นำเรามาถึงอ่าวเมืองวัลโลนา (Vallona)
ซึ่งเป็นเมืองหลวงของอัลบาเนีย (Albania) ในสมัยนั้น
ทหารพากันลงจากเรือและต้องแปลกใจ
เมื่อมารู้ว่านายทหารหลายคนไม่ได้ขึ้นเรือมากับเรา
แม้จะรู้สึกหวาดหวั่นแต่ก็สายเกินไปที่จะทำอะไรได้
เมื่อเข้าไปในเมืองวัลโลนา (Vallona) เราจะเห็นเฉพาะผู้ชายตามถนนหนทาง
ตลอดเวลาที่อยู่ที่อัลบาเนย (Albania) พ่อไม่เคยเห็นผู้หญิง
ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะเป็นเมืองนับถืออิสลาม
และมีกฎเกณฑ์เข้มงวดสำหรับผู้หญิงในการออกมานอกบ้าน
เมืองVallonaไม่มีอะไรน่าสนใจ เหมือนเมืองทั่วไป
พอพ้นเมืองออกมา 7 กิโลเมตรก็ถึงแนวหน้า
แนวหน้าแห่งนี้มีลักษณะเป็นครึ่งวงกลม
มีแนวรบค่อนข้างแคบ
จึงสร้างความลำบากใจให้กับนายทหารไม่น้อย
เนื่องจากแนวป้องกันไม่ค่อยแข็งแรงและยากที่จะเห็นตัวข้าศึก
เมื่อเข้าประจำการแล้ว เราไม่เคยเห็นนายพลทหารเลย
ต่อมาจึงได้ข่าวว่าเขาไปหลบอยู่ในถ้ำ
พร้อมกับทหาร 50 นายที่คอยคุ้มกันให้
เขาออกคำสั่งจากถ้ำ
โดยที่ไม่รู้ว่าสถานการณ์ที่แนวหน้าเป็นอย่างไร
ค่ำวันแรก ขณะมองมองหาที่หลบภัย
พ่อเห็นมีหลุมเพลาะอยู่ระหว่างเนินสองลูก
มีที่ราบเล็กๆอยู่ข้างหน้า
ทอดยาวไปถึงเนินอีกลูกหนึ่งที่ไม่มีต้นไม้ขึ้นเลย
จะมีก็แค่หญ้าเขียวปกคลุมอยู่เหมือนพรมเขียว
หลังจากที่ภาวนาสั้นๆแล้วเราก็ลงไปในหลุมเพลาะ
ทั้งเหน็ดเหนื่อยทั้งหิวกระหาย ทั้งไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่รอบตัวเราบ้าง
เราจึงต้องผลัดกันเป็นเวรถือปืนเฝ้าตลอดคืน
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น มีทหารคนหนึ่งปากเสีย
กล่าวผรุสวาทพระเจ้า แม่พระ และนักบุญ
พร้อมกับออกจากหลุมเพลาะและเดินตรงไปที่เนินเขียวข้างหน้า
แล้วก็ไต่ขึ้นเนิน พ่อตะโกนบอกให้เขากลับมา
เพราะที่นั่นมีทหารข้าศึกเต็มไปหมด
เขากลับพูดเยาะเย้ยว่าเราขี้ขลาดเหมือนกระต่าย
พอไต่ขึ้นเนินได้ประมาณ 100 เมตร
ทันใดก็ได้ยินเสียงปืน 2 นัด
เขาล้มลงกับพื้นและไม่ลุกขึ้นอีกเลย
เขาตายขณะที่ปากยังกล่าวผรุสวาทอยู่
ความยุ่งเหยิงและความไม่แน่นอน
พอสว่าง เราพยายามติดต่อนายทหารและทหารอื่นๆ
เพื่อจะรู้แนวรบและแนวป้องกันที่แน่นอน
เพราะไม่มีใครรู้อะไรเลย
แถมยังไม่มีคำสั่งใดจากผู้บังคับบัญชาการสูงสุด
ในที่สุดเราจึงสามารถตั้งแนวป้องกัน
และแบ่งแนวป้องกันได้อย่างชัดเจน
พร้อมกับมอบหมายหน้าที่รับผิดชอบให้แต่ละคน
กระนั้นก็ดี การแบ่งและการตั้งเขตรบไม่ง่ายเสมอไป
เนื่องจากภูมิประเทศเป็นภูเขาและเนิน จึงต้องแบ่งเขตให้กว้างไว้
พ่อและผู้บังคับกองนายหนึ่ง
ได้รับมอบหมายให้ดูแลเขตกว้างและมีทางผ่านเข้าAlbania
ขนาบด้วยเนินสองข้าง
เราแต่ละคนรับผิดชอบพลทหารจำนวนหนึ่งและจัดเวรให้ดูแล
เราดำอยู่ในสภาพนี้เป็นเดือน
สิ่งที่ลำบากกว่าหมดคือการขาดการติดต่อกัน
เพราะมีทหารประจำการไม่เพียงพอ
อันเป็นผลเนื่องจากการที่ทหารล้มป่วยด้วย
โรคมาเลเรียเหลืองเป็นจำนวนมาก