เส้นทางคริสตชน
โดย คุณพ่อบรรจง สันติสุขนิรันดร์
การเป็นคริสตชนคือการดำเนินชีวิตแห่งการเป็นบุตรของพระเจ้าเป็นพระพร
และศักดิ์ศรีที่คริสตชนแต่ละคนได้รับเมื่อรับศีลล้างบาป
การเป็นคริสตชนจึงไม่อยู่แค่การรับศีลล้างบาป มีความเชื่อในพระเจ้า ไปวัดรับศีลแก้บาป ทำตัวเป็นคนดี ทำหน้าที่ตามฐานะ ทำบุญให้ทาน... เมื่อผ่านชีวิตนี้แล้วจะได้เข้าสวรรค์
ทว่าในความเป็นจริงแล้ว ชีวิต คริสตชนเป็นมากกว่านั้นเพราะแก่นแห่งชีวิตคริสชน
อยู่ในการเป็นบุตรพระเจ้าผู้ทรงเป็นองค์ความรัก
พระเยซูเจ้าเสด็จมาเป็นมนุษย์เพื่อบอกมนุษย์ให้รู้ถึงศักดิ์ศรีแห่งการเป็นบุตรพระเจ้า
และเมื่อเป็นบุตรพระเจ้า พระบิดาเดียวกัน ทุกคนจึงเป็นพี่เป็นน้องกัน
พร้อมกันนี้ พระเยซูเจ้าทรงสอนวิธีและวิถีแห่งการเป็นบุตรพระเจ้า พระองค์ทรงสอนและสั่งให้ทุกคนปฏิบัติบัญญัติแห่งความรัก รักพระเจ้าและรักเพื่อนพี่น้อง
คริสตชนจึงเป็นคริสตชนตามลำพัง ตัวคนเดียว ไม่ได้
การจะเอาแต่คิดถึงตัวเอง ดูแลตนเอง สร้างและสะสมบุญกุศลให้ตนเอง...
เพื่อให้ตนเองจะได้รอดเข้าสู่สวรรค์ในที่สุดนั้น ยังถือว่ายังไม่เข้าถึงแก่นคริสตชนที่แท้จริง
เพราะเพื่อเป็นคริสตชนอย่างสมบูรณ์แบบ ต้องทำตัวเป็นบุตรพระเจ้าด้วยการปฏิบัติบัญญัติแห่งความรักและเพื่อปฏิบัติบัญญัติแห่งความรักได้ ต้องมีมากกว่าตนเองคนเดียว
หรือจะพูดอีกนัยหนึ่ง ต้องคำนึงถึงคนรอบข้างที่ต้องรัก ช่วยเหลือ เกื้อกูล...
ในฐานะที่แต่ละคนเป็นบุตรพระเจ้า
คุณพ่อการ์โล เดลลา โตร์เร ข้ารับใช้พระเจ้า
เข้าใจและเข้าถึงแก่นแห่งการเป็นคริสตชนตั้งแต่เมื่อยังเป็นเด็ก
ท่านเกิดและเติบโตในครอบครัวที่เชื่อในพระเจ้าและมีความรักความศรัทธา
เป็นพิเศษต่อพระมารดามารีย์
กระนั้นก็ดี ความเป็นคริสตชนในครอบครัวของท่านยังเป็นในรูปแบบที่ส่งทอดกันมา
ในบริบทสังคมคริสตชนในสมัยนั้น
การปฏิบัติศาสนกิจยังคงให้ความสำคัญแก่การเอาตัวรอดเข้าสวรรค์เป็นหลัก
การดำเนินชีวิตจึงมีแรงบันดาลใจแห่งความรอดนิรันดรเป็นแรงขับเคลื่อน
นอกจากเข้าวัดร่วมพิธีกรรมในวันอาทิตย์และวันฉลองต่างๆแล้วยังต้องคอยระวังตน
ไม่ทำผิดหรือทำบาป ซึ่งถือว่าเป็นสาเหตุหลักแห่งการไม่ได้เข้าสวรรค์
แต่คุณพ่อการ์โล ในวัยเด็กและวัยรุ่น เห็นว่านั่นไม่ใช่ทุกอย่างแห่งการเป็นคริสตชน
เพราะการเป็นคริสตชนต้องมีมากกว่านั้น
ท่านจึงมองเลยตัวไปและเห็นว่าการเป็นคริสตชนมีมิติแห่งความเป็นพี่น้องที่ต้องรัก
และช่วยเหลือ ไม่ใช่เพียงแค่สิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน หากแต่ต้องรักและช่วยเหลือเพื่อนพี่น้องอย่างครบองค์ นั่นคือ ทั้งฝ่ายกายและฝ่ายจิตใจจิตวิญญาณ
ในวัย 17 ปี ท่านถูกเกณฑ์ทหารและรับใช้ชาติเฉกเช่นเด็กหนุ่ม ในวัยเดียวกัน
ชีวิตทหารในช่วงสงคราม เป็นชีวิตที่อยู่ต่อหน้าความไม่แน่นอน เกิดอะไรขึ้นได้ทุกอย่างและทุกเวลา เพื่อนทหารที่เห็นหน้าเห็นตาพูดคุยกันมีอันต้องบาดเจ็บพิการเสียชีวิต เป็นความแน่นอนแห่งความไม่แน่นอน ทหารจึงให้ความสนใจแก่การมีชีวิตอยู่ในแต่ละวัน วันนี้คือความจริง พรุ่งนี้คือความไม่แน่นอน ทหารแต่ละคนจึงใช้แต่ละวันให้เต็มที่ สนุกสนานเพลิดเพลินกับทุกอย่างที่มีที่หาได้ แต่ละครั้งที่มีโอกาสออกไปพักนอกค่ายทหาร ทหารแต่ละคนจะสนุกสนานสุดเหวี่ยง ไม่คำนึงความเหมาะสม ความดี ความถูกต้อง
การ์โลกลับมีมุมมองชีวิตทหารที่แตกต่างออกไป ดังที่ท่านเองเขียนในอัตชีวประวัติ
“ค่ายทหารซึ่งสำหรับเพื่อนทหารเป็นเหมือนคุกที่น่าอึดอัด กลับเป็นเหมือนบ้านเพื่อพักผ่อนและเพลิดเพลินสำหรับพ่อ...บ่อยครั้งที่เพื่อนทหารมาหาพ่อและเล่าเรื่องราวของพวกเขาให้พ่อฟัง พ่อก็ฟังพวกเขาอย่างเงียบๆ แล้วก็จ้องหน้าพวกเขาพร้อมกับยิ้มเล็กน้อยและบอกพวกเขาว่า “ให้เรารักษาวัยหนุ่มของเราให้เต็มเปี่ยม เพราะวัยหนุ่มของเราเป็นเหมือนดอกไม้ที่งดงามที่สุดในชีวิตเรา... ถ้าเราเป็นหนุ่มในพฤติกรรม แม้ว่าร่างกายของเราจะแก่ วิญญาณของเราก็ยังคงรักษาความงดงามแห่งวัยหนุ่มไว้และจะไม่มีวันแก่เลย...” (พ่อ:อัตชีวประวัติ หน้า 45-46)
คุณพ่อการ์โลเข้าถึงแก่นแห่งความเป็นคริสตชน
คริสตชนคือผู้สำนึกในความเป็นบุตรพระเจ้าและความเป็นพี่น้องกับเพื่อนมนุษย์
การจะยึดมั่นถือมั่นในความดีของตนและหมกมุ่นกับตนเอง ยังไม่ใช่วิธีและวิถีแห่งการเป็น
คริสตชน คริสตชนดีคือคริสตชนที่ดีพร้อมกับเพื่อนพี่น้องทุกคนและแต่ละคน •