ผู้เข้าถึงแก่น
โดย คุณพ่อบรรจง สันติสุขนิรันดร์
พระเจ้าทรงรักมนุษย์และอยู่ใกล้ชิดมนุษย์
เพราะทรงถือว่ามนุษย์แต่ละคนเป็นลูกของพระองค์
“เป็นบุตร/เป็นธิดาที่พระองค์ทรงโปรดปรานยิ่ง” ดังที่พระองค์ตรัสกับพระเยซูเจ้า
บุตรหัวปีของพระองค์เพื่อให้ทุกคนรับรู้
พระเจ้าตรัสครั้งแรกเมื่อพระเยซูเจ้าทรงรับพิธีล้างจากยอห์นในแม่น้ำจอร์แดน
“ผู้นี้เป็นบุตรสุดที่รักของเรา เป็นที่โปรดปรานของเรา” (มธ 3,17)
พระเจ้าตรัสอีกครั้งเมื่อพระเยซูเจ้าและสาวกสามคนขึ้นภูเขาทาบอร์
“ผู้นี้เป็นบุตรสุดที่รักของเรา เราพึงพอใจยิ่งนัก” (มธ 17,5)
พระเยซูเจ้าทรงยืนยันด้วยคำสอนและแบบอย่างของพระองค์ถึงความจริงอันยิ่งใหญ่นี้
ความจริงแห่งความรักของพระเจ้าและทรงทำให้เป็นข่าวดีสำหรับทุกคน
เริ่มจากตัวพระเยซูเจ้าเอง พระองค์ทรงรับเอากายเป็นมนุษย์
เพื่อทำให้ความรักของพระเจ้ากลายตัวเป็นเลือดเนื้อ
เป็นตัวเป็นตนที่มนุษย์สัมผัสได้
เป็นความรักที่มนุษย์สามารถสัมผัสความอบอุ่นของพระเจ้าได้
แล้วนั้น พระเยซูเจ้าทรงชี้บอกให้เรารู้ว่า
ความรักของพระเจ้าไม่อยู่แค่ในตัวเรา
ในจิตวิญญาณเราเท่านั้น แต่ความรักของพระเจ้ารายล้อมชีวิตเราแต่ละวันในบุคคล ในเหตุการณ์ และในธรรมชาติ
แต่ละคน แต่ละอย่าง ย้ำบอกว่าพระเจ้าทรงรักเรา
แต่ละคนอย่างต่อเนื่อง
เมื่อทรงมีชีวิตอยู่ พระเยซูเจ้าทรงเทศน์สอนประชาชนในท่ามกลางธรรมชาติ
บนที่ราบ ริมทะเลสาบ บนเนินเขา ใกล้ทุ่งนา ใกล้สวนองุ่น...
และทรงใช้ธรรมชาติเป็นอุปกรณ์การเทศน์การสอนของพระองค์
พระเจ้าทรงเอาใจใส่เรามากกว่านกกระจอก...
พระเจ้าทรงหวงแหนเราและเลี้ยงดูเอาใจใส่เราดังลูกแกะ...
พระเจ้าทรงเฝ้าบอกสิ่งดีงามให้แก่เราดังผู้หว่านที่หว่านเมล็ดพืชลงดิน...
พระเจ้าทรงปรารถนาให้เราสนิทชิดเชื้อกับพระองค์ดังกิ่งองุ่นยึดติดกับลำต้น...
พระเจ้าทรงให้โอกาสความอ่อนแอของเราดังชาวนาให้โอกาสข้าวละมาน...
ดอกไม้งดงามในท้องทุ่งวันนี้บานพรุ่งนี้เหี่ยวแห้ง แต่พระเจ้ายังให้การดูแล
สาอะไรกับเรามนุษย์ที่เป็นบุตรของพระองค์...
คนที่รักพระเจ้าและเป็นอันหนึ่งเดียวกับพระองค์ ก็จะมีท่าทีเดียวกันกับพระเยซูเจ้า...
มองเห็นความรักและความเมตตาเอาใจใส่ของพระเจ้าในทุกสิ่งทุกอย่างรอบด้าน
และสรรเสริญโมทนาคุณพระองค์อย่างต่อเนื่องด้วยชีวิตที่ดีงาม
ในเวลาเดียวกัน ก็มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นดังการชี้บอกชี้สอนของพระเจ้า
เพื่อทำให้ชีวิตเต็มเปี่ยมขึ้นทุกวัน
ในขณะที่คนทั่วไปมองคนและสิ่งรอบข้างแค่เปลือกนอก
คนที่เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าจะเห็นถึงแก่น
และในแก่นนั้นเองเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและความรักของพระองค์ในทุกคนและ
ในทุกสิ่งเพราะคนที่เป็นหนึ่งเดียวกับ พระเจ้าจะมีคิดแบบพระเจ้าทรงคิด
เห็นอย่างที่พระเจ้าทรงเห็น ตัดสินอย่างที่พระเจ้าทรงตัดสิน ทำอย่างที่พระเจ้าทรงกระทำ
การ์โล เดลลา โตร์เร เป็นคนของพระเจ้ามาตั้งแต่เป็นวัยรุ่น เห็นได้จากวิธีคิด วิธีมอง วิธีพูด วิธีทำ
อันเนื่องมาจากการหล่อหลอมจากชีวิตแห่งความเชื่อในครอบครัว ในวัด และในบริบทสังคมที่
การ์โลเติบโตมาในขณะที่คนอื่นมองเฉพาะภายนอก การ์โลเข้าถึงแก่น และดำเนินชีวิตสอดคล้องกับแก่นแท้แห่งชีวิตสิ่งนี้เห็นเป็นตัวอย่างได้ในสิ่งที่คุณพ่อการ์โลบันทึกในอัตชีวิประวัติ
ตอนที่กำลังเดินทางไปบ้านเณรบางนกแขวก
“...เรือเราเข้าไปแล่นในแม่น้ำตอนดึกสงัด มีแค่แสงดาวสาดส่อง... ตามฝั่งซ้ายและขวาของแม่น้ำมีต้นไม้ขนาดกลางขึ้นอยู่ทั่วไปหมด และแต่ละต้นก็มีหิ่งห้อยเกาะอยู่เต็ม หิ่งห้อยเป็นแมลงเล็ก ๆ ที่มีปีกไว้บินและมีแสงส่องกระพริบออกมาจากลำตัวเป็นจังหวะสั้น ๆ แล้วแสงก็ดับเป็นระยะเวลาสั้น ๆ อีกเหมือนกัน ชีวิตของหิ่งห้อยสามารถนำมาใช้รำพึงได้ดีมากในช่วงดึกดื่นยามค่ำคืน
ข้อแรกของการรำพึงคือ “ความยิ่งใหญ่และความงดงามของพระเจ้าในสิ่งสร้างทั้งหลาย โดยเฉพาะ ในตัวหิ่งห้อย เดี๋ยวก็มีแสง เดี๋ยวก็มืด”
ข้อที่สองคือ “พระหรรษทานของพระเจ้า เมื่อเข้าสู่ดวงวิญญาณก็ทำให้วิญญาณสว่าง
แต่วิญญาณที่ยินยอมทำบาปหนักก็จะสูญเสียพระหรรษทานของพระเจ้าและความสว่างไปทันทีทันใด ทำให้วิญญาณต้องตกอยู่ในความมืด วิญญาณที่อยู่ในพระหรรษทานของพระเจ้าจะเต็มด้วยความสว่างและงดงาม แต่ถ้ายินยอมทำบาปหนัก ก็จะสูญเสียพระหรรษทานของพระเจ้า พร้อมกันนั้นก็สูญเสียความสว่าง กลายเป็นคนใจมืดดำด้วยความอกตัญญูและอยู่ในความมืดมน...” (พ่อ:อัตชีวประวัติ หน้า 139)
เฉพาะคนที่เข้าถึงแก่นแห่งธรรมชาติคนและสิ่งสร้างเท่านั้น ที่จะมองเห็นพระเจ้า รับรู้ถึงความรักความเอาใจใส่ของพระเจ้าต่อตนและต่อผู้อื่นได้อย่างต่อเนื่อง *